โดย พ.ญ.นภาพร ลิมป์ปิยากร
คนส่วนใหญ่คงเคยได้ยินคำขวัญประจำตัวของ บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่มาแล้วว่า “change” หรือ เปลี่ยนแปลง แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่าเขาจะเปลี่ยนอะไร และเหตุใดเขาจึงคิดว่าสหรัฐฯ จำเป็นต้องเปลี่ยน
สหรัฐเคยเป็นชาติที่ถูกก่อตั้งขึ้นบนปรัชญาของความเสมอภาค เสรีภาพ ยุติธรรม และเต็มไปด้วยโอกาส แต่ปัจจุบันโอบามาเชื่อว่าสหรัฐได้วิวัฒน์จนกลายเป็นประเทศที่สังคมขาดความเที่ยงธรรม ชนชั้นถูกกำหนดโดยชาติกำเนิดและความสัมพันธ์แทนความพยายาม ความสามารถ และ คุณความดี ข้อมูลบ่งว่าความไม่เท่าเทียมกันในสังคมสูงมาก ผู้บริหารระดับสูงมีรายได้ 645 เท่าของลูกจ้าง คนรวย 1% แรก ครอบครองทรัพย์สินในชาติถึง 40% ในขณะที่คนกว่า 47 ล้านคนไม่มีแม้แต่ประกันสุขภาพ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
แท้ที่จริงแล้วตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐไม่เพียงแต่จะขาดผู้นำ ที่มีความซื่อสัตย์และให้ความสำคัญกับความต้องการของประชาชนเท่านั้น ผู้กำหนดนโยบายยังมีความเชื่อในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ผิดๆ อีกด้วยนั่นคือ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบไหลรินหรือเศรษฐกิจจากบนลงล่าง ซึ่งรัฐควรให้ประโยชน์สูงสุดกับกลุ่มคนรวยและบริษัทใหญ่ๆ เพื่อให้พวกเขาขยายธุรกิจจนทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่เมื่อคนรวยมีเงินเพิ่มขึ้น พวกเขาก็มิได้นำเงินเหล่านั้นมาสร้างธุรกิจ แต่พวกเขากลับฝากเงินไว้ในธนาคาร โอบามาเชื่อว่าเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและสามารถสร้างความก้าวหน้าให้กับประเทศในระยะยาวต้องเป็นไปตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบจากล่างสู่บน เศรษฐกิจแนวนี้จะทำให้ทุกคนพยายามทำงานหนักขึ้น ศึกษาให้มากขึ้นและสร้างผลผลิตให้มากที่สุดเพราะพวกเขาจะได้รับผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม
นอกจากนั้น ผู้กำหนดนโยบายยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลผลิตมวลรวมของประเทศหรือจีดีพีมากเกินไป ทั้งๆ ที่จีดีพีมีองค์ประกอบมาจาก 1. การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการกระทำในอดีต เช่น แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม 2. การบริโภคที่มากเกินไป หรือการหยิบยืมจากอนาคตมาใช้ 3. กิจกรรมที่เพิ่งเริ่มนับเป็นรายได้ประชาชาติ เช่น การที่มารดาออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อเพิ่มรายได้ที่จะนำมาใช้ในการจ้างคนมาเลี้ยงดูบุตรแทนตน 4. การที่แต่ละบุคคลพยายามที่จะทำตัวเองให้แตกต่างจากเพื่อน เช่น การซื้อรถ Hammer ราคา 120,000 ดอลลาร์ แทนที่จะใช้รถ Corolla ซึ่งมีราคาเพียง 14,000 ดอลลาร์ ทั้งๆ ที่รถทั้งสองยี่ห้อต่างสามารถพาไปถึงที่หมายเช่นเดียวกัน และรถที่มีราคาแพงกว่าก็มิได้ทำให้เจ้าของมีอะไรที่ดีกว่าเมื่อไปถึงที่หมายแล้ว จีดีพีที่เพิ่มขึ้นจึงมิได้ทำให้ชาวอเมริกันมีความสุขมากขึ้นแต่อย่างใด
การที่ผู้กำหนดนโยบายสำคัญผิดในเรื่องดัชนีชี้วัดความก้าวหน้าของประเทศน่าจะมาจากการที่สหรัฐใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมที่ให้ความสำคัญกับกำไรมากที่สุด โดยกำไรที่ได้มานั้นก็มักมาจากการทำให้สหภาพแรงงานอ่อนกำลังลง จากกระบวนการโลกาภิวัตน์และการส่งงานไปทำนอกบริษัท ทั้งหมดนี้ทำให้ค่าแรงและผลประโยชน์ที่ชาวอเมริกันได้รับลดลง
โอบามาเชื่อว่าสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้สหรัฐต้องประสบปัญหาความอยุติธรรมและความไม่เสมอภาคมาจากการที่สหรัฐ ปล่อยให้บริษัทต่างๆ บริจาคเงินมากมายให้กับนักการเมือง ข้อมูลบ่งว่าการลงทุนที่บริษัทให้กับสมาชิกสภา 1 ดอลลาร์ จะได้รับผลตอบแทนถึง 368 ดอลลาร์ เงินสนับสนุนนักการเมืองไม่เพียงจะทำให้ค่าแรงของชาวอเมริกันลดลงเท่านั้น หากยังทำให้ต้นทุนของสินค้าเกือบทุกชนิดเพิ่มขึ้นอีกด้วย เช่น ทำให้ราคาธัญพืชที่ใช้ผสมในอาหารเช้ามีราคาสูงถึง 3.95 ดอลลาร์ ในขณะที่มันมีข้าวโพดผสมอยู่เพียง 0.16 ดอลลาร์ ทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินของเส้นทางระยะสั้นแพงกว่าเส้นทางระยะยาว จริงอยู่ยังไม่เคยมีการคำนวณมูลค่า ที่แท้จริงของการที่ผู้บริโภคต้องอยู่ในระบบการค้าที่มีผู้ประกอบการเพียงรายเดียว หรือน้อยราย แต่ประชาชนก็ถูกคิดค่า สินค้า และบริการแพงเกินไปหลาย ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีมาเป็นเวลานานแล้ว
หลายคนคงเคยได้ยินโอบามาพูดถึงความหวัง ความหวังในที่นี้ของเขาก็คือโอกาสทางเศรษฐกิจ เขาเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ชาวอเมริกันทุกคนจะต้องต่อสู้เพื่อทำให้ความหวังของตนกลับคืนมา การที่สหรัฐแตกต่างจากยุโรปเป็นเพราะชาวอเมริกันเชื่อในความสามารถและโอกาส ความก้าวหน้าของชาวอเมริกันเคยเป็นผลมาจากการทำงานหนักและความพยายามหาใช่เป็นผลมาจากชาติกำเนิดไม่ หากความก้าวหน้าเป็นผลมาจากชาติกำเนิด ลูกหลานชาวอเมริกันก็จะไม่มีวันดีกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันทุกคนไม่อาจยอมรับได้ และไม่ควรที่จะยอมรับด้วย
นโยบายที่โอบามาจะสร้างโอกาสให้กับชาวอเมริกันทุกคน ก็คือ 1. คงไว้ซึ่งภาษีมรดก 2. ให้โอกาสทางการศึกษากับ ชาวอเมริกันทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน 3. สร้างความมั่นใจว่าชาวอเมริกันทุกคน จะมีโอกาสก้าวหน้าอย่างเท่าเทียมกัน ด้วยการทำลายอุปสรรคที่ขวางกั้นมิให้แรงงานก้าวหน้าหรือได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
ส่วนนโยบายที่เขาจะใช้ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและ ตระเตรียมสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ต่อการเรียนรู้ให้กับเด็ก ก็คือ 1. ให้แรงงานมีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพ ชาวอเมริกันที่ทำงานเต็มเวลาจะต้องไม่ตกอยู่ในเกณฑ์ของความยากจน 2. เพิ่มค่าลดหย่อนรายได้เพิ่มขึ้นจาก 175 ดอลลาร์ต่อเดือน เป็น 555 ดอลลาร์ต่อเดือน และหากครอบครัวที่ต้องส่งเสียลูกหลานจะได้รับการยกเว้นภาษีที่รายได้ ต่ำกว่า 1,100 ดอลลาร์ต่อเดือน 3. ขยายการลดหย่อนภาษีในกรณีที่ครอบครัวมีเด็กหรือผู้พึ่งพิง อนุญาตให้ครอบครัวที่ยากจนสามารถนำค่าใช้จ่ายของเด็กมาหักภาษีได้ 50% 4. ขยายการจ่ายค่าแรงของวันลาป่วย 5. ขยายวันลาสำหรับการลาป่วยของตนเองและสมาชิกในครอบครัว อนุญาตให้แรงงานลาไปดูแลคนชรา และอนุญาตให้พ่อแม่ลาไปทำกิจกรรมของบุตรหลานได้ ปีละ 24 ชั่วโมง 6. ขยายโอกาสทางการศึกษาหลังจบการศึกษา
โอบามาเชื่อว่าการศึกษาเป็นกุญแจสำคัญสำหรับโอกาส กลยุทธ์ที่โอบามาจะใช้เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับ ลูกหลานชาวอเมริกัน คือ 1. เพิ่มเงินทุนให้กับโรงเรียนเด็กเล็ก 4 เท่า เพื่อให้โรงเรียนเหล่านี้มีอุปกรณ์ การเรียนการสอนที่ดีและสามารถดึงดูด ครูที่ดีให้มาทำงานด้วย 2. ปรับปรุงคุณภาพโรงเรียนประถมและมัธยมของรัฐด้วยการเพิ่มความสำคัญของการศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ 3. ขยายโอกาสทางการศึกษาหลังจบการศึกษา 4. ทำให้การเรียนต่อในระดับวิทยาลัยของชาวอเมริกันเป็นไปได้ง่ายขึ้นด้วยค่าใช้จ่ายที่ลดลง เช่น ให้ค่าใช้จ่ายในการ ศึกษาในระดับวิทยาลัย 2 ใน 3 หรือ 4 พันดอลลาร์แรกเป็นของฟรี นโยบายนี้ตรงข้ามกับสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ที่อนุญาตให้วิทยาลัยคิดค่าเล่าเรียนกับนักเรียนเท่าใดก็ได้ ทำให้ นักศึกษาเป็นหนี้มากมายหลังจบการศึกษา 5. เพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับคน ผิวดำชาวอเมริกันและกลุ่มเชื้อสายสเปนเพื่อให้พวกเขามีโอกาสในการหางานเพิ่มขึ้น รวมทั้งผ่านกฎหมายเพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้หญิงจะได้รับค่าแรงไม่น้อยกว่าผู้ชาย
คนส่วนใหญ่เริ่มเชื่อแล้วว่าวิกฤตการณ์ทางการเงินในปัจจุบันมิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการที่ภาคการเงินขาดการกำกับดูแลเพราะสมาชิกสภาทำงานเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทที่พวกเขารับเงินบริจาค แทนที่จะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศ โอบามาจึงมี นโยบายที่จะ 1. ปกป้องเจ้าของบ้านและปราบปรามการจำนองที่ฉ้อฉล 2. สร้างความมั่นใจให้กับอุตสาหกรรมการปล่อยกู้ให้กับกลุ่มลูกหนี้ด้อยคุณภาพเสียใหม่ 3. ออกกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้องกับการยึดสินทรัพย์ใหม่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมยิ่งขึ้น 4. ป้องกันการปัดความรับผิดชอบของบริษัทรับจำนองด้วยการประกาศล้มละลาย 5. หาวิธีการควบคุมบริษัทให้สินเชื่อบุคคล เช่น บัตรเครดิต มิให้พวกเขาเอาเปรียบประชาชนด้วยการกำหนดอัตรา ดอกเบี้ยเองตามความพอใจ หรือออก กฎระเบียบที่เอาเปรียบประชาชน
6. ควบคุมการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและสร้างความโปร่งใสในการให้ข้อมูลกับลูกค้า 7. สร้างองค์กรสาธารณะที่จะทำหน้าที่เผยแพร่ความรู้และให้คำปรึกษากับกลุ่มคนที่ต้องการซื้อบ้านใหม่เพื่อให้พวกเขาเข้าใจรายละเอียดในสัญญาซื้อขายและจำนองอย่างถ่องแท้ 8. เสนอกฎหมายเพื่อควบคุมและลงโทษมืออาชีพที่ทำธุรกรรมอย่างฉ้อฉล 9. สร้างระบบให้ผู้ขอกู้สามารถเข้าถึงและเปรียบเทียบข้อมูลในสัญญาได้ง่ายขึ้น 10. ให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนที่มีปัญหาทางการเงินอันเกิดจากการมีรายได้ลดลง จนไม่สามารถที่จะจ่ายคืนเงินกู้ได้ตามกำหนดเวลา 11. สร้างกรอบควบคุมทางการเงินใหม่ด้วยการปฏิรูปเกณฑ์การควบคุมสถาบันการเงินเพื่อให้การทำธุรกรรมโปร่งใสมากขึ้นและเสี่ยงน้อยลง ส่วนสถาบันการจัดอันดับต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการทำธุรกรรม รวมทั้งเฝ้าระวังและปราบปรามธุรกรรมที่ทำให้ตลาดผันผวน
นอกจากนั้น โอบามายังคัดค้านการเปิดเสรีทางการค้าที่ไม่คำนึงถึงความยุติธรรมด้านแรงงาน สิ่งแวดล้อมและความพึงพอใจของผู้บริโภค ทั้งนี้เพราะเขาเห็นว่าการค้าเสรีที่มิได้มีการกำกับดูแลในเรื่องกรรมสิทธิ์และการบังคับใช้กฎหมายเป็นการค้าที่มิได้สร้างความเป็นธรรมและประโยชน์ให้กับประชาชนของประเทศคู่ค้า การที่ประเทศ คู่ค้ามีค่าแรงโดยเปรียบเทียบต่ำกว่าสหรัฐตลอดกาล ทำให้อุตสาหกรรมแทบทุกชนิดของสหรัฐถูกโยกย้ายไปยังประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่า ส่งผลให้ชาวอเมริกันมีค่าแรงต่ำลง โอบามาเชื่อว่าสหภาพแรงงานที่ เข้มแข็งจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ให้กับแรงงานได้ เขาจึงมีนโยบายที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับสหภาพอีกครั้งด้วยการ 1. สร้างความมั่นใจว่าการรวมตัวกันเป็นสหภาพจะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างเสรี 2. ให้สิทธิกับแรงงานในการจัดตั้งสหภาพ 3. ปกป้องแรงงานที่นัดหยุดงาน
ค่าแรงขั้นต่ำไม่เพียงจะมีผลกระทบกับประชาชนเท่านั้น หากยังมีผลต่อเยาวชนและอนาคตของชาติอีกด้วย ทั้งนี้เพราะ โอบามาเชื่อว่าการที่เด็กอเมริกันส่วนหนึ่งขาดความสามารถเป็นเพราะพวกเขาเกิดในครอบครัวที่พ่อแม่ได้รับเพียงค่าแรงขั้นต่ำ จึงมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ พวกเขาจึงจำเป็นต้องทำงานด้วยชั่วโมงทำงานที่มากขึ้น ส่งผลให้พวกเขาไม่มีเวลาที่จะเอาใจใส่การเรียนของบุตรหลาน หากรัฐบาลสามารถออกกฎหมายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำได้ แรงงานที่ขาดทักษะจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสามารถที่จะดูแลลูกหลานได้ดีขึ้นด้วย แม้ว่าการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอาจจะทำให้สหรัฐขาดความสามารถในการแข่งขัน แต่แท้ที่จริงแล้วค่าแรงขั้นต่ำก็มิได้เป็น กุญแจความสำเร็จของอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพราะอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพิงแรงงานค่าแรงต่ำได้เคลื่อนย้ายจากสหรัฐไปนานแล้ว ส่วนอุตสาหกรรมที่อิงกับค่าแรงขั้นต่ำที่ไม่สามารถโยกย้ายไปทำที่ประเทศอื่นได้ เช่น อุตสาหกรรมอาหารจานด่วนก็มิได้เป็นธุรกิจที่ใหญ่โตที่จะสามารถสร้างจีดีพีมากมาย นอกจากนั้นการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำยังมิได้ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นมากมายด้วย เช่น หากแมคโดนัลด์ถูกบีบบังคับให้ขึ้นค่าแรงจากชั่วโมงละ 6 ดอลลาร์ เป็น 10 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการขึ้นค่าแรงถึงกว่า 80% ราคา แฮมเบอร์เกอร์ก็จะเพิ่มขึ้น เพียงอันละ 20 เซนต์ หรือ 10% จากเดิมเท่านั้น โอบามาเชื่อว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่คงยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้น 10% เพื่อให้แรงงานชาวอเมริกันมีเงินพอที่จะใช้จ่าย เพื่อให้พวกเขาก้าวพ้นจากความยากจนและมีเวลาเอาใจใส่การเรียนของบุตรหลานเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันปัญหาโลกร้อนมีส่วนสำคัญยิ่งต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต นโยบายของโอบามาก็คือจะให้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นกับบริษัทที่ให้ความสนใจกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ลดโลกร้อนและลดรอยเท้าทางด้านคาร์บอน เขามีแผนที่จะ 1. แนะนำระบบการลงทุนและการค้าตามแนวทางตลาดที่ลดการปล่อยคาร์บอน 2. ลงทุน 150,000 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างพลังงานสะอาดและเพิ่มเงินทุนในการวิจัยทางด้านพลังงานอีกเท่าตัว 3. เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและส่งเสริมการลดการใช้พลังงาน 4. ทำให้สหรัฐเป็นผู้นำในการลดโลกร้อน
ส่วนนโยบายด้านบริการสุขภาพนั้น โอบามาต้องการให้เป็นระบบการจ่ายเงินแบบเดียว (one payer) เพราะเขาเห็นว่าระบบตลาดที่สหรัฐใช้อยู่นั้นให้ประโยชน์กับผู้ให้บริการมากกว่าผู้รับบริการ ทั้งนี้เพราะระบบนี้ยุ่งยากเกินกว่าที่ผู้รับบริการจะเข้าใจจนทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบการบริการระหว่างกันได้ อีกทั้งยังทำให้การกำกับดูแลเป็นไปได้ยากด้วย แผนงานของเขาก็คือ 1. ทำให้ชาวอเมริกันทุกคนมีประกันสุขภาพ 2. ลดค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพทั้งด้านนายจ้างและลูกจ้าง 3. ลงทุนทางด้านสารสนเทศเพื่อให้การบริการสาธารณสุขเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 4. ทำให้บริการสาธารณสุขเป็นไปอย่างมีคุณภาพและโปร่งใส
5. สร้างความเชื่อมั่นว่าผู้ให้บริการจะให้บริการอย่างมีคุณภาพ 6. ลดราคาเวชภัณฑ์และต้นทุนของการบริการสาธารณสุขด้วยการเพิ่มการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และเพิ่มการแข่งขันการประกันสุขภาพ 7. เพิ่มคุณภาพการบริการทางด้านจิตเวช
จริงอยู่ระบบการจ่ายเงินผ่านตัวแทนเดียวโดยให้รัฐเป็นผู้จ่ายค่าบริการทั้งหมดแต่ผู้เดียว อาจขาดประสิทธิภาพเพราะขาดการแข่งขันและมีจำนวนผู้เข้ารับบริการมากเกินไป แต่ระบบประกันที่สหรัฐใช้อยู่ขณะนี้ก็เป็นระบบที่ขาดประสิทธิภาพเช่นกัน อีกทั้งยังอนุญาตให้สถานประกอบการสามารถขึ้นราคามากเท่าใดก็ได้จนทำให้บริการทางด้านสาธารณสุขเป็นสินค้าที่มีราคาแพงมาก ข้อมูลบ่งว่าค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพกว่า 30% เกิดขึ้นในปีสุดท้ายของชีวิต และส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของชีวิตด้วย โอบามาจึงเห็นว่าการทำประกันควรมี 2 ระบบ คือ ระบบที่ค่าประกันจะแพงตลอดชีวิต แต่ผู้เอาประกันจะได้รับบริการอย่างเต็มที่จนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต กับระบบที่ค่าประกันราคาถูกกว่า แต่การบริการแบบเต็มที่จะให้ถึงอายุ 75 ปี หรืออายุเท่าใดแล้วแต่จะกำหนดภายหลัง แต่หลังจากนั้นหากแพทย์เห็นว่าการลงทุนเพื่อรักษาอาจไม่คุ้มค่า ผู้เอาประกันอาจไม่ได้รับการบริการที่มีค่าใช้จ่ายสูง
นโยบายที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงวัยโอบามาจะ 1. ขยายเพดานการจ่ายเงินประกันสังคมเพื่อให้มีเงินมากพอสำหรับอนาคต 2. ปฏิรูปกฎหมายล้มละลายเพื่อปกป้องแรงงานและคนเกษียณ เพราะปัจจุบันการล้มละลายปกป้องธนาคารก่อนลูกจ้าง 3. ยกเลิกภาษีรายได้กับผู้สูงวัยที่มีรายได้ต่อปีน้อยกว่า 5 หมื่นดอลลาร์ 4. จัดบัญชียาราคาพิเศษให้กับผู้สูงวัย 5. สร้างความเข้มแข็งให้กับบริการ สาธารณสุข เขามีแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงระบบประกันสังคมเพื่อลดต้นทุนและภาระภาษีของประชาชน อีกทั้งยังมีแผนที่จะดึงเงินประกันสังคมคืนจากลูกหลานของผู้สูงวัยที่มีรายได้จากมรดกของผู้สูงวัยที่เสียชีวิตด้วย
โอบามาย้ำว่าหากไม่ปรับเปลี่ยนกฎระเบียบ กองทุนย่อมไม่สามารถที่จะรับภาระได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้เพราะ 1) ในปัจจุบันสัดส่วนแรงงานต่อผู้สูงอายุเท่ากับ 3 : 1 และจะกลายเป็น 2 : 1 เมื่อกลุ่มคนรุ่นเบบี้บูมเกษียณ ในขณะที่สัดส่วนนี้ในปี 1940 ซึ่งเป็นช่วงแรกตั้งกองทุนเท่ากับ 30 : 1 2) เมื่อกลุ่มคนรุ่นเบบี้บูมเกษียณหมด สหรัฐจะขาดแรงงานซึ่งจะทำให้รายได้ของกองทุนลดน้อยลงไป 3) คนรุ่นใหม่ทำงานด้วยจำนวนปีน้อยกว่าคนรุ่นเก่าและมีอายุยืนยาวกว่าคนรุ่นเก่าหลายปี ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าเพื่อให้ กองทุนประกันสังคมสามารถจ่าย ผลประโยชน์ได้ตามปกติ คนรุ่นใหม่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 1 เท่า นั่นหมายความว่าสหรัฐกำลังไม่เพียงจะต้องประสบปัญหากับกองทุนขาดแคลนเงินเท่านั้น หากยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจหดตัวจากการที่กลุ่มคนรุ่นเบบี้บูมใช้จ่ายลดลงหลังเกษียณ และคนรุ่นใหม่ขาดความสามารถในการ แข่งขันอีกด้วย
หลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐมีการคอร์รัปชั่นสูงมาก อันเป็นผลมาจากการ ที่บริษัทใหญ่ๆ เป็นผู้บริจาคเงินสนับสนุนสมาชิกสภา บริษัทและสื่อมักเห็นแต่ประโยชน์ของตนเองในระยะสั้นโดยไม่สนใจว่ากลยุทธ์นี้ทำให้สหรัฐต้องตกที่นั่งลำบากเพราะชุมชนกำลังล่มสลาย ความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง ประชาชนขาดความสุข ความก้าวหน้าและความหวัง
โอบามาเชื่อว่าการจะพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าสหรัฐเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่มิใช่ด้วยตึกระฟ้าที่สูงตระหง่าน ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่โต หรือกองกำลังที่เข้มแข็ง แต่ด้วยหลักฐานที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 200 ปีก่อนจากคำประกาศอิสรภาพแล้วนั่นคือ มนุษย์ทุกคนเกิดมาอย่างเท่าเทียมกัน มีอิสระในการสร้างธุรกิจของตนเองโดยไม่ต้องติดสินบน และสามารถที่จะเข้าร่วมทางการเมืองโดยไม่ต้องเกรงว่าจะถูกแก้แค้นหรือปองร้าย มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของประเทศที่จะทำตามคำประกาศอิสรภาพ แต่เป็นความรับผิดชอบของชาวอเมริกันทุกคน ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าหน้าที่ของแต่ละคนต่อประเทศชาติคืออะไร แต่ทุกคนต้องค้นหาให้ได้ด้วยตัวเองและเปลี่ยนแปลงเพื่อร่วมสร้างประวัติศาสตร์ใหม่
หลังจากที่บารัก โอบามา ประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรัฐเข้าดำรงตำแหน่งมาแล้วขวบปี ชาวอเมริกันและชาวโลกคงทราบกันแล้วว่า เขาสามารถเปลี่ยนแปลงสหรัฐฯ และโลกได้อย่างที่เขาหวังไว้หรือไม่ หรือเขาก็เป็นเพียงแค่นักการเมืองดาด ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
