โดย พ. ญ. นภาพร ลิมป์ปิยากร
เมื่อตื่นขึ้นตอนเช้า บางคนจะรู้สึกว่ามันเป็นวันใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม บางคนกลับรู้สึกว่ามันเป็นวันเดิม ๆ เพราะชีวิตของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่ความจริงมีอย่างน้อยหนึ่งสิ่งที่เปลี่ยนทุกวันนั่นคือ วันที่ นั่นหมายความว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือเป็นสัจธรรมที่เราต้องยอมรับนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้การที่เราจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพน่าจะทำให้เราประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิต ดอกเตอร์สเปนเซอร์ จอห์นสัน (Dr. Spencer Johnson) ได้เขียนหนังสือขึ้นเรื่องหนึ่งชื่อ Who Moved My Cheese ซึ่งคงแปลเป็นไทยได้ว่า “ใครย้ายเนยแข็งของฉัน” เพื่อให้แง่คิดเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอันจะส่งผลให้ผู้อ่านมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตได้ง่ายขึ้น ผู้เขียนใช้วิธีดำเนินเรื่องผ่านการเล่านิทานซ้อนกัน 2 เรื่องทำให้ง่ายต่อการจดจำและสนุกสนานในการอ่านอีกด้วย
วันอาทิตย์ในเมืองชิคาโก เพื่อนนักเรียนเก่ากลุ่มหนึ่งได้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ขึ้นหลังจากไม่ได้พบกันมาเป็นเวลานาน ต่างคนต่างเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนให้เพื่อน ๆ ฟัง แต่ละคนมีมุมมองและวิธีการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนกัน จึงมีคนที่ทั้งประสบความสำเร็จและประสบความล้มเหลว คนหนึ่งในกลุ่มให้ความเห็นว่า ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเป็นสิ่งที่ดีแต่มันมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน ฉะนั้นเราจึงต้องหาประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงด้วยการเรียนรู้จากมันและปรับเปลี่ยนตัวให้เราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น แล้วเขาจึงเล่านิทานเรื่อง “ใครย้ายเนยแข็งของฉัน” อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ใช้วิธีแตกต่างกันในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงให้เพื่อนคนอื่น ๆ ฟัง
เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหนู 2 ตัวนามว่า Sniff และ Scurry และคนแคระ 2 คนนามว่า Hem และ Haw วิ่งวนอยู่ในเขาวงกตเพื่อค้นหาเนยแข็งเป็นอาหาร ทั้งหนูและคนแคระใช้เวลาในการค้นหานานมากจนวันหนึ่งทั้งสี่ก็พบเนยแข็งที่สถานีซี สิ่งมีชีวิตทั้งสี่อาศัยเนยแข็งที่สถานีนี้บำรุงบำเรอความสุขอยู่ชั่วระยะหนึ่ง วันหนึ่งเมื่อทั้งสี่มาถึงสถานีซีก็พบว่า เนยแข็งหายไปหมด หนูทั้งสองตัวต่างไม่รู้สึกแปลกใจเพราะมันได้สังเกตมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วว่าขนาดของเนยเล็กลงเรื่อย ๆ เมื่อมันไม่พบเนยแข็งในที่เดิมอีก มันจึงเร่งรีบเดินทางออกจากสถานีซีกลับเข้าไปในเขาวงกตเพื่อไปหาเนยแข็งก้อนใหม่ต่อไปโดยไม่ยอมเสียเวลาในการวิเคราะห์หาสาเหตุ
ส่วนคนแคระทั้งสองซึ่งไม่เคยสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของขนาดของเนยแข็งเสียเวลาไปกับการคร่ำครวญและวิ่งวนอยู่ในที่เดิมเพื่อหาสาเหตุว่าเนยแข็งของตนหายไปไหน การที่คนทั้งสองทำเช่นนั้นย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่สามารถอธิบายได้ง่ายเพราะนั่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะมีความคิดว่าการมีเนยแข็งหรือการเป็นเจ้าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง สุขภาพที่ดี หรือการมีความสุข ยิ่งเราให้คุณค่าสิ่งหนึ่งมากเพียงใดเราก็ยิ่งยึดติดกับสิ่งนั้นมากเพียงนั้น เราจึงพบว่ามนุษย์ทั้งสองเอะอะโวยวายเพียงอย่างเดียวโดยไม่คิดเปลี่ยนแปลงอะไรในขณะที่หนูทั้งสองตัวไม่คิดอะไรมากเพราะมันไม่ยึดติดกับอะไร หากได้แต่มุ่งไปข้างหน้าเพื่อหาเนยแข็งก้อนใหม่มาเป็นอาหาร จนวันหนึ่งมันก็ได้พบกับเนยแข็งที่ทั้งก้อนใหญ่กว่าเดิมและมีรสชาติดีกว่า
ส่วนคนแคระทั้งสองยังคงวนเวียนกลับไปยังสถานีเดิมอยู่ทุกวัน ต่างเริ่มเครียดและกระวนกระวายมากขึ้นจนบางครั้งก็นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายถึงกับทะเลาะกันเอง กระทั่งวันหนึ่ง Haw นึกขึ้นมาได้ว่า หากเขายังคงดันทุรังกลับไปที่เดิมทุกวันย่อมไม่มีอะไรดีขึ้นเพราะเนยแข็งก้อนเดิมได้หายไปแล้ว เขาจึงควรที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยการออกไปหาเนยแข็งก้อนใหม่ ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงหวาดกลัวการหลงทางในเขาวงกต แต่เขาพยายามสร้างจินตนาการถึงความสุขที่จะได้รับจากเนยแข็งก้อนใหม่และความสนุกสนานในการเดินทางในเขาวงกต เขาชักชวน Hem ให้ออกเดินทางจากสถานีซีเพื่อไปหาเนยแข็งก้อนใหม่ด้วยกัน แต่ Hem กลับปฏิเสธ เขาจึงตัดสินใจออกเดินทางไปคนเดียว
เมื่อเขาตัดสินใจได้ เขาก็เริ่มรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น เขาจึงตระหนักว่าการไม่ยอมเปลี่ยนแปลงย่อมจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดชะงักลง ถึงแม้ว่าเขาจะยังมีความหวาดกลัวการหลงทางในเขาวงกตอยู่ แต่เขาก็รู้ว่าความรู้สึกหวาดกลัวที่มากจนเกินไปย่อมไม่ก่อประโยชน์อันใด มีแต่การเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเท่านั้นจึงจะสามารถค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิตได้ นั่นก็คือ เนยแข็งก้อนใหม่นั่นเอง ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงมีจินตนาการไม่สร้างสรรค์ที่สร้างความหวาดกลัวให้เกิดกับตัวเองเป็นครั้งคราว แต่เขาก็เรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองให้ได้ด้วยการเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งจนสามารถทำให้เกิดความรู้สึกดีกับตัวเองและสดชื่นขึ้น เขาเรียนรู้ว่าความกลัวจากจินตนาการมักจะมากกว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
นอกจากนั้นเขายังประจักษ์ว่าการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นตามธรรมชาติไม่ว่าเราจะอยากให้มันเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการยอมรับ การที่เขามีความเชื่อใหม่ ๆ นำไปสู่พฤติกรรมใหม่ ๆ ที่ทำให้เขามีโอกาสเข้าใกล้เนยแข็งชิ้นใหม่มากขึ้นจนเมื่อหวนกลับไปคิดดูเขาจึงตระหนักว่าหากเขาช่างสังเกตมากกว่านั้น เขาคงมองเห็นการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นกับเนยแข็ง และหากเขาเรียนรู้ที่จะหัวเราะให้กับความผิดพลาดของตัวเองรวมทั้งยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่านั้น เขาคงเริ่มต้นได้เร็วกว่าเช่นกันและป่านนี้เขาคงค้นพบเนยชิ้นใหม่แล้ว อย่างไรก็ตามแม้การเริ่มต้นยอมรับการเปลี่ยนแปลงของเขาอาจจะดูช้าไปสักหน่อยแต่ย่อมดีกว่าการไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย เขาหวนกลับไปคิดถึง Hem ซึ่งไม่ทราบว่าป่านนี้จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงและเริ่มออกเดินทางตามมาแล้วหรือยัง
ในขณะที่ Haw ง่วนอยู่ในเขาวงกต Hem ยังคงกลับไปที่สถานีเดิมทุกวันและคร่ำครวญถึงแต่ความเคยชินกับเนยแข็งชิ้นเก่าที่หมดไปแล้ว Hem ตั้งปณิธานว่าเขาจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะได้เนยแข็งชิ้นเดิมคืนมาโดยที่เขาไม่ตระหนักเลยว่าเขาจะไม่มีวันพบเนยก้อนใหม่หากเขาไม่เปลี่ยนแปลงความคิดและยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง
ก่อนจากกันคนในกลุ่มได้พูดคุยกันถึงด้านต่าง ๆ ของนิทานเรื่องนั้นจนได้ข้อสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งเราสังเกตเห็นและยอมรับการเปลี่ยนแปลงอีกทั้งพยายามปรับเปลี่ยนตัวเพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้เร็วเท่าไหร่ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จย่อมเร็วขึ้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นอาจเป็นการดีกว่าหากเราเลือกที่จะเป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นเสียเองเพราะเราจะกลายเป็นผู้กำหนดสถานการณ์ นั่นย่อมหมายความว่าเราจะสามารถรับมือได้ดีกว่าและง่ายกว่า
การเปิดใจให้กว้างเพื่อยอมรับสิ่งใหม่ ๆ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมยังผลให้เกิดความสำเร็จง่ายยิ่งขึ้น เช่น แทนที่เราจะเปลี่ยนงานเราควรที่จะเปลี่ยนมุมมองของเราต่องานเดิม แล้วเปลี่ยนวิธีการทำงานเสียใหม่อันจะส่งผลให้เรามีความสุขมากขึ้นและประสบความสำเร็จมากขึ้น เหมือนกับการที่เราสร้างจินตนาการถึงเนยแข็งก้อนใหม่ที่ใหญ่และรสชาติดีกว่าเดิมรอเราอยู่ข้างหน้าซึ่งจะส่งผลให้เรารู้สึกดีขึ้น รวมทั้งพยายามใช้วิธีการใหม่ในการทำงานเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีกว่าเดิม เพราะพฤติกรรมเดิม ๆ ย่อมนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เหมือน ๆ เดิม ยิ่งไปกว่านั้นการที่เรามัวแต่เสียเวลาคร่ำครวญถึงแต่สิ่งเก่า ๆ ย่อมไม่ก่อประโยชน์อันใดนอกจากเป็นการสร้างความเครียดให้กับตัวเอง
ข้อสังเกต – การเปลี่ยนแปลงเป็นความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ เมื่อโลกหมุนไปทุกวัน ๆ เราจะมายึดติดกับเรื่องเดิม ๆ ความสำเร็จเดิม ๆ ไม่ได้ ดังนั้นหากคนไทยทุกคนไม่ร่วมมือร่วมใจกันทำงานให้หนักขึ้น อดทนและขยันให้มากขึ้น รวมทั้งรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นให้มากขึ้นแทนที่จะเอาแต่ตีกันเถียงกัน เรียกร้องและรอคอยความช่วยเหลือแต่จากรัฐบาล อีกไม่ช้าเราคงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะแข่งขันได้กับเวียดนามอย่างแน่นอน หลังจากที่ญี่ปุ่น เกาหลีและจีนได้เดินแซงหน้าเราไปหมดแล้ว
