จากคอลัมน์ “ร้อยฝันปันศิลป์” ในหน้าสือพิมพ์แนวหน้า
โดย พญ.นภาพร ลิมป์ปิยากร
Renaissance คำที่ไกด์นำเที่ยวมักพูดถึงนั้นมาจากคำว่า Ri ซึ่งแปลว่าอีกครั้ง และคำว่า nascere ซึ่งแปลว่าเกิด ดังนั้นเมื่อนำมาแปลรวมกันจึงแปลออกมาได้ว่าการเกิดใหม่ แต่มักเป็นที่เข้าใจตรงกันว่าเป็นยุคศิลปะฟื้นฟู ยุคที่เป็นรอยต่อระหว่างยุคกลางและยุคใหม่นี้ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์ยุโรป ทั้งนี้เพราะช่วงเวลาระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 13-16 เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาทั้งด้านวัฒนธรรม การเมือง ปรัชญา วิทยาศาสตร์และศาสนาอย่างมากมายในสังคมยุโรป การที่ยุคฟื้นฟูเริ่มต้นที่ฟลอเรนซ์ของอิตาลีเป็นเพราะตระกูลเมดิซี่ซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนิยมสนับสนุนนักปราชญ์และศิลปินให้สร้างสรรค์งานด้านศิลปะ นักปราชญ์ชาวกรีกจำนวนมากจึงย้ายถิ่นฐานมาอาศัยอยู่
แม้ว่าในยุคศิลปะฟื้นฟูนี้จะมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น แต่ศิลปินส่วนใหญ่ก็มิได้ปฏิเสธศาสนา ศิลปินส่วนหนึ่งกลับทุ่มเทให้กับศาสนาเป็นพิเศษด้วยซ้ำไปโดยเน้นการสร้างงานที่ใช้แรงบันดาลใจจากพระคัมภีร์ใหม่ เช่น ไมเคิลแองเจลโล ฟิลิปโป ลิปปี้ อย่างไรก็ดียุคนี้เริ่มมีการแยกเรื่องราวของมนุษย์ออกจากศาสนาอย่างเห็นได้ชัด และเริ่มมีการเขียนรูปร่างหน้าตาของมนุษย์ให้มีสภาพ สัดส่วนและอารมณ์ที่เหมือนจริงมากที่สุด รวมทั้งเริ่มมีการวาดรูปทิวทัศน์ไว้ในภาพเขียนต่าง ๆ ด้วย เช่น ภาพ The Tribute Money ของ Masaccio ซึ่งเป็นภาพเฟรสโกที่เขาเขียนไว้ในห้องสวดมนต์ Brancacci ในซานตามาเรียเดลคาร์มีนสถานที่ที่เขาพบกับฟิลลิปโป ลิปปี้ศิษย์เอกของเขาเป็นครั้งแรก
ในยุคเรอเนสซองส์นี้ยังมีการแบ่งแนวศิลปะตามลักษณะของงานอีกหลายอิสซึ่ม เช่น Classicism ศิลปะยุคนี้เริ่มถอยห่างจากยุคกลางอย่างเห็นได้ชัดและหันกลับมาศึกษางานของโรมและกรีกโบราณโดยเฉพาะนิยายปรัมปราโดยมิได้เลียนแบบตรง ๆ แต่มีการพัฒนาที่ก้าวหน้ามากกว่า เช่น David ของ Donatello งานหล่อจากทองแดงรูปดาวิดของโดนาเทลโลซึ่งเป็นภาพชายเปลือยภาพแรกของประวัติศาสตร์นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นรูปหล่อที่มีชีวิตชีวาที่สุดชิ้นหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
Secularism เป็นแนวโน้มของศิลปะที่ให้ความสำคัญแต่กับความสัมพันธ์กันของมนุษย์ที่แยกตัวออกจากศาสนาอย่างชัดเจนโดยมักได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายปรัมปราของกรีก ศิลปินบางท่านก็นำเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์มาผลิตเป็นชิ้นงาน เช่น ภาพ Entry of Charles VIII into Florence ของ Francesco Granacci นี้เป็นภาพการประกาศชัยชนะของ Charles VIII กษัตริย์ฝรั่งเศสต่ออิตาลี การออกแบบของตึกรามบ้านช่องของภาพนี้ไม่มีส่วนสัมพันธ์ใด ๆ กับศาสนจักรเลย แต่เป็นรูปตึกรามบ้านช่องของสามัญชนทั่วไปโดยที่ศิลปินให้ความสำคัญกับเรื่องของสัดส่วน รูปแบบ และความสมดุล
เมื่อ Secularism เป็นงานศิลปะที่แยกออกจากศาสนาอย่างสิ้นเชิงจึงทำให้ภาพเขียนไม่จำเป็นต้องถูกจัดแสดงไว้เฉพาะแต่ในโบสถ์ นอกจากนี้การเกิดมีนวัตกรรมใหม่นั่นคือ การจัดแสดงภาพเขียนบนขาตั้งทำให้การวาด
ภาพเหมือน (Portrait) เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย เช่น Flora ของ Titian ผู้มีอันจะกินจึงหันมาสะสมภาพวาดเหมือนมากขึ้นส่งผลให้ศิลปินมีงานและรายได้เพิ่มขึ้น พัฒนาการทางด้านศิลปะจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
