โดย พญ.นภาพร ลิมป์ปิยากร
เป็นที่ทราบกันดีว่า ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในทุกความสัมพันธ์ เมื่อคนสองคนที่แตกต่างกันและไม่เพียบพร้อมมาอยู่ด้วยกัน พวกเขาย่อมไม่สามารถที่จะเห็นพ้องต้องกันในทุกเรื่องได้ สิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากรู้ก็คือ ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถที่จะผ่านพ้นปัญหาและแก้ไขความขัดแย้งได้อย่างราบรื่น
ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่า มนุษย์แต่ละคนมีวิถีทางในการต่อสู้ 1 ใน 5 แบบนั่นคือ 1) พวกพิงเชือกตลอดกาล (Rope a Dope) มันเป็นการยากที่คนเหล่านี้จะยอมออกมารบ พวกเขาชอบหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ และไม่ยอมรับอารมณ์ตัวเองเมื่อมันเกิดขึ้น 2) กลุ่มศิลปินที่ชนะตลอดกาล (Knockout Artist) คนพวกนี้จะสู้ขาดใจจนได้ชัยชนะ เขาจะต้องถูกเสมอ และไม่เคยเหลือทางไว้ให้ใครเลย ทุกเส้นทางมีไว้สำหรับฉันคนเดียวเท่านั้น เมื่อคนกลุ่มนี้ชนะทุกการแข่งขัน ความสัมพันธ์ของพวกเขากับคนอื่น ๆ จึงมักเสื่อมทราม เพราะคนอื่นไม่มีปากมีเสียงและเบื่อที่จะพยายาม
3) พวกยอมแพ้ตลอดกาล (Take the Fall Fighter) คนกลุ่มนี้ยอมโยนผ้าอย่างง่ายดายในทุกความขัดแย้ง พวกเขามักหลอกลวงตัวเองว่ามันเป็นหนทางที่สงบ แต่มันกลับสร้างความขมขื่นให้กับตัวเองที่ยอมคนอื่นทุกอย่าง และแท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่การสู้ที่ถูกต้อง 4) พวกชอบแก้ปัญหาแบบให้และรับ (One Two Puncher) เราชนะครึ่งเพื่อนชนะครึ่ง การแก้ไขความขัดแย้งแบบนี้อาจดีในบางสถานการณ์ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด 5) พวกหุ้นส่วนคนละครึ่ง ทั้งคู่ต่างตระหนักดีว่า ขบวนการเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและยืนยาวกว่าผลลัพธ์ คนกลุ่มนี้จึงมักแก้ไขความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะทั้งคู่มักมีความรู้สึกที่ดีต่อกันหลังความขัดแย้ง
เมื่อเราทราบแล้วว่าบุคลิกของแต่ละคนในการเข้าสู่ความขัดแย้งแตกต่างกัน เพื่อป้องกันการขัดแย้งจนยากที่จะคืนดี ก่อนที่เราจะต้องต่อสู้กัน เราควรที่จะตั้งกฎกติกากันไว้ก่อน กติกาที่ดีที่สุดก็คือ ตกลงกันก่อนว่า เราจะพยายามหาวิธีการแก้ปัญหา มากกว่าการหาแพะรับบาป และวิธีการที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดในการแก้ไขปัญหาก็คือ เราต้องยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง โต้แย้ง และเติบโตไปด้วยกัน แทนที่จะพยายามหาทางทำให้อีกคนบาดเจ็บและเสียใจ ในระหว่างการโต้แย้ง อย่าพยายามดึงเรื่องเก่า ๆ เข้ามาในการแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น จงจำไว้ว่าสัมพันธภาพมีความสำคัญมากกว่าการยอมกันในทุก ๆ เรื่อง และสิ่งที่ตรงข้ามกับความรักมิใช่ความเกลียด แต่เป็นความเฉยเมยต่างหาก
ส่วนศิลปะที่แท้จริงของการสนทนาในระหว่างความขัดแย้งไม่ใช่การพูดสิ่งที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะไม่พูดในสิ่งที่ผิดในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานด้วย เช่น ในระหว่างการโต้แย้งของคู่สมรส พยายามอย่าพูดคว่า “หย่า” อย่าพยายามพูดแรง ๆ เพื่อระบายอารมณ์หรือใช้คำหยาบ เพราะคำพูดเหล่านี้จะหยุดยั้งการสนทนาที่อาจนำไปสู่การแก้ไขความขัดแย้ง เราควรเรียนรู้ที่จะพูดให้ตรงประเด็นแทนที่จะโทษกันไปมา อย่าพูดว่า “คุณทำ มันเป็นความผิดของคุณ” “คุณเป็นคนโกหก” เพราะเมื่อใดที่เราพยายามที่จะกล่าวโทษคนอื่น คนเหล่านี้ก็จะสร้างกำแพงให้สูงขึ้น การปล่อยระเบิดลงไปยังพนังรังแต่จะทำให้กำแพงทลายลง
ในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีนั้น วิธีการที่ดีทีสุดอย่างหนึ่งก็คือ เปิดใจต่อกัน โดยทั่วไปการที่คนจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มได้ดีก็ต่อเมื่อหัวหน้ากล้าที่จะบอกถึงความอ่อนแอหรือจุดด้อยของเขา เราต้องเปิดใจก่อนที่จะเปิดปากเสมอ ต้องเรียนรู้ที่จะฟังก่อนที่จะพูด รวมทั้งต้องเรียนรู้ที่จะฟังสิ่งที่อยู่ใต้คำพูดของผู้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนใจโดยสังเกตจากภาษากาย
ปัจจุบันคนที่ทำงานด้วยกันส่วนใหญ่มักไม่ค่อยพูดความจริงต่อกัน รวมทั้งไม่แบ่งปันความรู้สึกด้วย ซ้ำยังชอบแทงหลังกันอีกต่างหาก ลักษณะเช่นนี้สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขาดความไว้เนื่อเชื่อใจกัน ทั้ง ๆ ที่องค์กรที่ดีต้องอยู่บนรากฐานชองความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ต้องพูดกันแต่เรื่องจริง เมื่อคนในองค์กรไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน องค์กรนั้นก็ยากที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์และยากที่จะก้าวหน้าได้
มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะยอมรับกันในทุกสิ่ง เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาต่างกัน มันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องผิดหรือถูก แต่สิ่งที่มีความหมายก็คือ การมองชีวิตจากมุมมองที่ต่างกัน หากเราสัญญาที่จะเปิดใจ ยอมรับความเห็นที่แตกต่างของผู้อื่น เราจะสามารถคงความเคารพซึ่งกันและกันไว้ แม้ว่าเราจะเปลี่ยนจากยอมเป็นไม่ยอมก็ตาม
โดยทั่วไปผู้ชายมักพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งโดยเฉพาะกับคู่สมรสด้วยการเดินออกจากสนามรบเมื่อปัญหาเริ่มปรากฎให้เห็นอย่างเด่นชัด เพราะพวกเขามักตั้งใจไว้ว่าจะหลีกเลี่ยงการโต้แย้งกับคู่สมรสทุกวิถีทาง แต่การไม่เผชิญหน้ากลับมิใช่วิธีการแก้ปัญหาในทุกความสัมพันธ์ ถ้าเรารักใครสักคน เราต้องรวบรวมความกล้าที่จะเผชิญหน้าและก้าวผ่านอารมณ์ที่นำมาซึ่งความขัดแย้ง ใช้เวลาร่วมกัน แบ่งปันความยากลำบากด้วยกัน ถอดเกราะที่ห่อหุ้มเราเพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน เพราะเราทุกคนย่อมต้องการความสงบอย่างแท้จริงในสัมพันธภาพ เราจึงจำเป็นต้องพยายามที่จะแก้ไขความขัดแย้งก่อนที่มันจะสายเกินไป
