จากคอลัมน์”อิ่มอารมณ์ศิลป์” ใน D-Life
โดย พญ. นภาพร ลิมป์ปิยากร
หลังปี 1792 โกย่าติดเชื้อไข้สมองอักเสบและกลายเป็นคนหูหนวก ในระหว่างที่เขาพักฟื้นอยู่ 5 ปี เขาอ่านงานเกี่ยวกับปรัชญาและการปฏิวัติในฝรั่งเศสซึ่งทำให้เขารู้สึกหดหู่มาก เขาจึงสร้างงานชุดชื่อ Caprichos ขึ้น ภาพชุดนี้เริ่มออกแนวมืดมนและเหนือจริงเหมือนคนฝันร้ายซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดกลัวและโดดเดี่ยวของเขาในช่วงเวลานั้น เช่น ภาพ Courtyard with Lunatics ซึ่งสะท้อนถึงความสยดสยองและเต็มไปด้วยจินตนาการของความหวาดกลัวและเปล่าเปลี่ยว ภาพการถูกกักขังของผู้ต้องหาเช่นนี้กลายเป็นภาพที่เขาวาดอย่างสม่ำเสมอในเวลาต่อมาด้วย หลังเขียนภาพนี้เสร็จไม่กี่สัปดาห์ เขาก็เริ่มป่วยทางจิต
หลังจากที่โจเซฟ โบนาปาสกษัตริย์จากฝรั่งเศสที่มาปกครองสเปนสิ้นพระชนม์ พระเจ้าเฟอดินันที่ 7 ก็หวนคืนบัลลังก์อีกครั้งหนึ่ง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับโกย่ากลับไม่เหมือนเดิม เขาจึงไปซื้อบ้านของคนหูหนวกอยู่ที่ Manzanares และเริ่มสร้างงานแนวใหม่ที่เรียกว่า The Black Painting
ภาพในชุด The Black Painting ที่น่าขยะแขยงและแสดงออกถึงความผิดปกติทางจิตมากที่สุดของโกย่าคงไม่มีภาพใดเกิน Saturn Devouring His Son ภาพนี้มาจากนิยายปรัมปราของกรีกที่ Saturn กษัตริย์พระองค์หนึ่งต้องกินลูกของตัวเอง เพราะโหรทำนายว่าลูกของเขาจะฆ่าเขาเหมือนอย่างที่เขาฆ่าพ่อเพื่อชิงบัลลังก์ โกย่าวาดให้ Saturn ปรากฏขึ้นจากเงามืด อ้าปาก ตาถลนมองตรงมานอกภาพด้วยสายตาที่แสดงความสงสัยและบ้าคลั่ง ความสว่างของภาพนอกเหนือจากส่วนตาขาวส่วนหนึ่งมาจากร่างของศพที่ฉาบด้วยเลือดปราศจากศีรษะและแขนข้างซ้าย อีกส่วนหนึ่งมาจากข้อนิ้วของ Saturn ที่กำลังบีบรัดศพด้วยความโกรธแค้น มีหลักฐานเชื่อได้ว่าขณะที่ภาพนี้ยังอยู่ที่กำแพงบ้านของโกย่า เขาวาดอวัยวะเพศของ Saturn ที่กำลังชูชันด้วย แต่เป็นไปได้ว่าขณะที่ภาพถูกเคลื่อนย้ายจากกำแพงลงมาบนผืนผ้าใบ ส่วนที่เขาวาดไว้ได้ถูกทำลายจนเสียหาย ภาพนี้ถูกนักวิจารณ์ตีความไปต่าง ๆ นานา บางคนตีความว่ามันแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างคนหนุ่มกับคนแก่ซึ่งอาจหมายถึงโกย่ากับลูกชาย แต่บางคนตีความว่าความโกรธเคืองของ Saturn เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความไม่พอใจของชาวสเปนในช่วงเวลานั้น
แม้ว่าโกย่าจะมิได้ตั้งใจให้ Saturn Devouring His Son ปรากฏต่อสาธารณชน แต่ภาพนี้กลับมีความสำคัญมากตรงที่ มันเป็นภาพที่แสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์ในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเหมือนอย่างภาพใน Sistine Chapels ของไมเคิลแองเจลโลที่แสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คนในคริสต์ศตวรรษที่ 16
คนส่วนใหญ่ที่ชมผลงานทั้งหมดของโกย่าที่จัดแสดงแยกไว้เป็นพิเศษในพิพิธภัณฑ์พราโดจบลง คงรู้สึกเหมือน ๆ กันว่า เฮ้อ! โลกนี้ทำไมถึงเศร้าและมืดมนเช่นนี้หนอ
