โดย พญ.นภาพร ลิมป์ปิยากร
David Calleo เคยกล่าวไว้ว่า ในขณะที่ชาวยุโรปมองทุกคนบนโลกว่าเป็นเพื่อน แต่ชาวอเมริกันซึ่งอยู่ท่ามกลางสังคมที่มีแต่ความรุนแรงกลับมองว่าทุกคนเป็นศัตรู แต่ยิ่งสหรัฐฯ ใช้กำลังเข้าตัดสินมากยิ่งขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งขาดความสามารถในการเป็นผู้นำในโลกมากยิ่งขึ้นเท่านั้น จริงอยู่สหรัฐฯ อาจใช้การติดสินบน การระรานหรือการกำหนดเงื่อนไขที่ใดในโลกก็ได้ แต่ศักยภาพของพวกเขาในการนำโลกกลับลดลงเรื่อย ๆ ในขณะที่อำนาจของยุโรปที่สร้างอิทธิพลต่อประเทศต่าง ๆ กลับตรงข้าม ห้าสิบปีภายใต้การดูแลของสหรัฐฯ ยุโรปได้สร้างสังคมประชาธิปไตย และใช้ขนาดของตลาดรวมทั้งการสัญญาของการมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมจากภายใน อีกทั้งยังใช้โมเดลของตัวเองในการนำเสนอหนทางที่ยากจะปฏิเสธให้กับประเทศที่ติดต่อด้วยไปแล้ว
ภายในเวลาเพียงแค่ 50 ปี การคิดถึงสงครามบนทวีปยุโรปกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในขณะที่เศรษฐกิจของยุโรปเองก็ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเท่าทันกับสหรัฐฯ ล้อมรอบยุโรปยังมีประชากรอีกกว่า 900 ล้านคนซึ่งสามารถที่จะกลายเป็นคู่ค้า แหล่งลงทุนและพื้นที่ให้ความช่วยเหลือได้เป็นอย่างดี นั่นหมายความว่า หากรวมชาวยุโรป และประชากรรอบ ๆ ซึ่งรวมกันได้ถึง 2 พันล้านคนนั้น เท่ากับว่าพวกเขามีชุมชนขนาด 1 ใน 3 ของโลกเลยทีเดียว อำนาจชนิดใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วในรูปแบบที่ไม่สามารถวัดด้วยขนาดของงบประมาณและเทคโนโลยีทางการทหาร แม้สหรัฐฯ จะพบว่ายุโรปกำลังอ่อนแอ แต่แท้ที่จริงแล้วยุโรปกำลังมีอำนาจมากขึ้น และอำนาจของยุโรปก็คือ อำนาจในการเปลี่ยนแปลงเสมือนมือที่มองไม่เห็นที่ปฏิบัติการผ่านโครงสร้างทางการเมืองแบบเก่า ยุโรปสามารถที่จะขยายอำนาจออกไปโดยไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงความเป็นศัตรูกับใคร การที่ยุโรปไม่มีผู้นำอย่างเด่นชัด แต่ทำงานร่วมกันแบบโครงข่ายที่มีนโยบายและเป้าหมายเดียวกัน ทำให้พวกเขาสามารถที่จะขยายตัวออกไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทางที่จะล่มสลาย วิถีชีวิตแบบชาวยุโรปกำลังกลายเป็นต้นแบบที่ยากจะปฏิเสธ
Why Europe will run the 21st Century ขนาด 264 หน้าตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2006 ของ Mark Leonard ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการสำนักงานต่างประเทศของคณะกรรมาธิการยุโรปชาวอังกฤษจะแสดงให้เห็นว่า โมเดลของยุโรป ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำหรับทั่วโลกจาก ผลของมันที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการให้ความหมายกับคำว่าอำนาจในคริสต์ศตวรรษที่ 21 มนุษย์ทุกคนต่างฝันถึงโลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข มั่งคั่งและเป็นประชาธิปไตย โลกที่ประเทศเล็ก ๆ ก็มีอำนาจอธิปไตยเหมือนประเทศใหญ่ โลกที่ให้ความสำคัญกับกฎหมายและประชาธิปไตยมากกว่าสงคราม
หลังจากที่ยุโรปผ่านสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสองซึ่งทำให้พวกเขาสูญเสียประชากรไปถึง 8 และ 40 ล้านคนแล้ว ความฝันของผู้นำของประเทศชั้นนำในยุโรปก็คือ ต้องปลดอาวุธจากทวีปนี้ให้ได้อย่างถาวร Jean Monnet ผู้ออกแบบการรวมตัวกันของสหภาพยุโรปใช้หลักการที่ไม่เหมือนใครและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนั่นคือ การไม่มีพิมพ์เขียว Schuman Declaration ที่ฝรั่งเศสและเยอรมันเซ็นร่วมกันในการร่วมโครงการยุโรปเมื่อปี 1950 นั้นขาดแผนการหลักจากการที่ Monnet ต้องการให้การสร้างยุโรปเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
Jean Monnet ต้องการที่จะผูกฝรั่งเศสกับเยอรมันเข้าไว้ด้วยกันก่อนจึงเริ่มต้นสร้างความร่วมมือกันในเรื่องถ่านหินและเหล็ก ทั้งนี้เพราะวัตถุดิบทั้งสองเป็นต้นกำเนิดของอาวุธ เทคนิคของ Monnet ก็คือ เขาจะเน้นไปที่รายละเอียดทางเทคนิคเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามทางด้านการเมืองซึ่งมักดึงดูดสื่อ เมื่อใดที่รัฐบาลของทั้งสองประเทศเสียเวลาไปกับการต่อรอง พวกเขาย่อมไม่มีเวลาจะก่อสงคราม Monnet เชื่อว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนแปลงยุโรปคือ ค่อยเป็นค่อยไป และทุก ๆ การตกลงจะทำให้ยุโรปต้องควบรวมกันมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ อย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ เช่น เมื่อผู้นำยุโรปยกเลิกภาษีศุลกากร พวกเขาก็จะเริ่มกำจัดข้อกำหนดอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับภาษี เช่น เรื่องของมาตรฐานทางสุขภาพ จนเกิดการรวมตัวกันเป็นตลาดเดียวและเงินสกุลเดียวได้ในที่สุด
จริงอยู่ทุกประเทศก็ต้องปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง แต่เมื่อพวกเขานำเรื่องที่แต่ละประเทศให้ความสนใจเข้าไปรวมกันในสหภาพยุโรป ผลลัพธ์ที่เกิดก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง Monnet ไม่ได้ต้องการที่จะกำจัดเรื่องความสนใจของผลประโยชน์ตัวเองในแต่ละประเทศ แต่เขาต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นธรรมชาติด้วยการหลอมรวมของความสนใจของประเทศต่าง ๆ โดยค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในธรรมชาติของชีวิต แต่ละประเทศจะยอมสละสถาบันของตัวเองผ่านการเปลี่ยนแปลงตัวเอง วิสัยทัศน์ของยุโรปมิได้มีจุดหมายที่จะสร้างโมเดลพัฒนามนุษย์แบบเดียว แต่พวกเขาต้องการความหลากหลายและการแข่งขันกันทางวัฒนธรรมที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ความแตกต่างไม่ใช่ภัยคุกคาม มันเป็นธรรมชาติจึงต้องให้ความเคารพ ยุโรปสร้างสถาบันที่เคารพในความหลากหลาย แต่ยอมให้เกิดการทำงานร่วมกันในเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเรื่องทั่วไป
ยุโรปถูกสร้างขึ้นจากการรวมตัวของชาติเล็กชาติน้อย พวกเขาจึงต้องมีระเบียบที่จะไม่ให้ชาติที่มีขนาดใหญ่กว่ามีอำนาจเหนือชาติอื่น ทั้งนี้เพราะการแข่งขันกันของชาติเหล่านี้ทางด้านเทคโนโลยีนี่เองที่เคยทำให้พวกเขาสามารถที่จะข้ามน้ำข้ามทะเลไปครอบครองประเทศต่าง ๆ ทางตะวันออกและพยายามที่จะสร้างสมดุลของอำนาจจนเป็นที่มาของสงคราม การสร้างเครือข่ายเป็นสหภาพยุโรปที่ผูกพันกันภายใต้กฎหมายและระเบียบต่าง ๆ นี้จะทำให้พวกเขาไม่แข่งขันกันสร้างอาวุธหรือประเทศบริวารเหมือนอย่างสมัยก่อน แต่จะแข่งขันกันผ่านทางการหล่อหลอมอธิปไตย ความโปร่งใส และยังสร้างสมดุลทางอำนาจกับประเทศนอกสหภาพยุโรปด้วย
การที่สหภาพยุโรปสามารถสร้างอำนาจโดยที่ไม่มีศัตรูเป็นเพราะ พวกเขาใช้อำนาจทางด้านเศรษฐกิจ มิใช่อำนาจทางการทหาร มันจึงเหมือนกับการที่แมลงติดกับดักของละอองดอกไม้ นั่นคือ เมื่อประเทศใดมีปัญหากับสหภาพยุโรปซึ่งไม่มีประเทศใดมีอำนาจเด็ดขาด พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องเสียเวลามากมายไปกับการต่อรองกับประเทศสมาชิกที่หลากหลายซึ่งดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
Niccolo Machiavelli นักประวัติศาสตร์ชาวอิตาเลียนเคยกล่าวไว้ว่า มันเป็นการดีกว่าที่ถูกกลัว มากกว่าถูกรัก แต่ต้องระวังด้วยว่าต้องไม่ถูกเกลียด ถึงกระนั้นก็ตาม ยุโรปเลือกที่จะให้ถูกรัก จริงอยู่การสร้างความหวาดกลัวอาจแสดงให้เห็นถึงอำนาจหรือทำให้สามารถปกครองผู้อื่นได้ แต่มันจะมีต้นทุนที่สูงและมักให้ผลตรงข้าม เพราะมันสร้างความไม่พึงพอใจให้กับกลุ่มคนที่ถูกควบคุม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ชาวอิรัก การใช้อำนาจด้วยความรุนแรงอาจสามารถหยุดยั้งไม่ให้คนทำความชั่วได้ แต่ไม่สามารถที่จะสร้างและปกครองสังคมที่มีความซับซ้อนได้อย่างแน่นอน เช่น สหรัฐฯ สามารถที่จะทำลายตาลีบันในอัฟกานิสถานได้ไม่ยากนัก แต่สหรัฐฯ ก็ไม่สามารถที่จะสร้างประชาธิปไตยในอัฟกานิสถานได้ ปัญหาเรื่องผู้นำทหาร การเล่นพรรคเล่นพวก และการคอรัปชั่นก็ยังคงเกิดขึ้นเช่นเดิม ความล้มเหลวของสหรัฐฯ ทั้งในอัฟกานิสถานและอิรักพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการใช้อำนาจแบบควบคุมนั้นขาดประสิทธิภาพ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้สู้การเปลี่ยนแปลงจากภายในไม่ได้
สหภาพยุโรปเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างชาติในยุโรปให้กลายเป็นนโยบายภายใน ตลอดห้าสิบปีที่ผ่านมา ผู้นำยุโรปชาติต่าง ๆ ได้ทำข้อตกลงที่จะทำให้เกิดมาตรฐานกลาง กฎหมายและข้อกำหนดนับพัน ๆ เรื่อง จนข้อกำหนดจำนวน 31 เล่ม 8 หมื่นหน้านั้นได้กำกับดูแลทุกเรื่องราวในชีวิตประจำวันของชาวยุโรปไปเสียทั้งหมดแล้ว ไม่วาจะเป็นเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานหรือการคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายกลายเป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดของยุโรป แต่พวกเขาจะทำอย่างไรให้วิสัยทัศน์ของพวกเขาถูกส่งไปยังประเทศนอกสหภาพยุโรป
หลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย ยุโรปตะวันออกและยุโรปกลางได้กลายเป็นประเทศประชาธิปไตยที่สงบและมีอิสระเนื่องจากพวกเขาถูกเชิญเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ทั้งประเทศในยุโรปตะวันออกและยุโรปกลางต่างยินยอมให้มีการตรวจและทำลายอาวุธที่หลงเหลืออยู่จากการสะสมในช่วงสงครามเย็น แทนการแข่งขันกันสะสมอาวุธกันต่อไป พวกเขากลับพยายามที่จะร่วมมือกันค้ำประกันความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชน ความแตกต่างทางด้านความคิดในอดีตของทั้งกลุ่มยุโรปตะวันตกและออกได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นความปลอดภัยของสังคมที่มีความต้องการที่ตรงกัน ปรากฏการณ์ของความพยายามในการสร้างสันติที่ได้ประโยชน์ร่วมกันพิสูจน์แล้วว่า การตรวจตราสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร และสามารถเป็นไปด้วยความเต็มใจ พื้นฐานของสัมพันธภาพในสหภาพยุโรปมาจากสนธิสัญญาระหว่างประเทศ พวกเขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถทำให้สำเร็จได้ผ่านกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายเหล่านี้นี่เองที่มีอำนาจในการสร้างสันติภาพและประชาธิปไตย ส่วนหนทางที่ดีที่สุดในการเอาชนะการก่อการร้าย การเพิ่มขึ้นของอาวุธทำร้ายล้างสูง ยาเสพติดก็คือการใช้กฎหมายระหว่างประเทศ และวิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างชาติก็คือ ใช้ความร่วมมือของคนในชาติ
ในปี 1993 ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปได้ประชุมกันที่โคเปนเฮเกนและสรุปว่า ประเทศที่ต้องการสมัครเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปจะต้องปฏิบัติดังนี้ 1. ต้องมีสถาบันประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ 2. ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย 3. ต้องเคารพสิทธิมนุษยชน 4. ต้องมีการให้ความคุ้มครองชนกลุ่มน้อย 5. ต้องมีเศรษฐกิจระบบตลาดที่ดี เช่น ต้องสามารถที่จะแข่งขันได้ภายใต้ภาวะกดดัน 6. ต้องปฏิบัติตามระเบียบทั้ง 8 หมื่นหน้าซึ่งกำกับดูแลทุกเรื่องราวของทุกชีวิตในประเทศ
แท้ที่จริงแล้วตุรกีเป็นประเทศที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 1963 แต่เมื่อพวกเขาเกือบเข้าเป็นสมาชิก รัฐบาลตุรกีกลับฝ่าฝืนระเบียบต่าง ๆ ของสหภาพยุโรป อย่างไรก็ดีตุรกียังคงไม่ละความพยายาม Recep Tayip Erdogan นายกรัฐมนตรีตุรกีได้พยายามอีกครั้งด้วยการยกเลิกกฎหมายประหารชีวิต อนุญาตให้สื่อมีอิสระอย่างเต็มที่ ลดงบประมาณทางการทหารลง ยอมปล่อยนักกิจกรรมชาวเคิร์ทออกจากคุก และยอมให้ทีวีมีรายการของชาวเคิร์ท ผลของยุโรปต่อตุรกีพิสูจน์ให้เห็นอย่างแจ่มชัดแล้วว่า มันเป็นอำนาจแบบก้าวร้าวที่ไม่รุนแรง (Passive Aggression) การถอนมือออกจากความเป็นเพื่อนหรือความคาดหวังต่อการได้เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในประเทศตุรกี เซอร์เบีย บอสเนียยังเลวร้ายกว่าการที่บรัสเซลล์ใช้อำนาจทางการเมืองบีบบังคับให้ประเทศเหล่านี้เปลี่ยนแปลง
แท้ที่จริงแล้วภัยคุกคามจากเพื่อนบ้านของสหรัฐฯ และยุโรปไม่ว่าจะเป็นการค้ายาเสพติด การหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพตามชายแดนและอาชญากรรมระหว่างประเทศล้วนไม่ต่างกัน แต่การตอบสนองของประเทศสองฟากของแอตแลนติกต่างกันโดยสิ้นเชิง สหรัฐฯ ได้ส่งทหารเข้าไปยังเพื่อนบ้านกว่า 15 ครั้งใน 50 ปีนี้ แต่ประเทศเหล่านั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่สหภาพยุโรปสามารถเปลี่ยนตุรกีและประเทศในบอลข่านไปมากแล้ว
การจะได้เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเป็นตัวกระตุ้นที่มีอำนาจมากพอที่จะทำให้เพื่อนบ้านยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองผ่านกระบวนการปฏิวัติที่อาจเจ็บปวดบ้างเพื่อให้พวกเขาสามารถที่จะมั่งคั่งและมีอิสระในเวลาต่อมา เมื่อพวกเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองสำเร็จ พวกเขาก็จะกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าของชาวยุโรปแทนการเป็นภาระ เมื่อตลาดร่วมยุโรปเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขาจึงสามารถที่จะเป็นผู้เขียนกฎที่ใช้กำกับดูแลทุกประเทศในโลก บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกต่างยินดีที่จะใช้มาตรฐานยุโรปแทนที่จะใช้มาตรฐานภายในประเทศเพื่อให้สินค้าของพวกเขาสามารถที่จะเข้าถึงชาวยุโรปได้ ปัจจุบันสหภาพยุโรปเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโลกแบบยุโรป (Eurosphere ) เท่านั้น ประเทศรอบ ๆ ยุโรปที่คาดหมายจะเข้าร่วมกับสหภาพยุโรปยังมีอีก 80 ประเทศเริ่มตั้งแต่สหภาพโซเวียต ประเทศในคาบสมุทรบอลข่าน ประเทศตะวันออกกลาง ประเทศในแอฟริกาเหนือและซับซาฮาร่า ประเทศเหล่านี้ได้เริ่มใช้เงินยูโรเป็นหลักในการแลกเปลี่ยนเงินตราแล้ว
อำนาจในการเปลี่ยนแปลงของยุโรปเป็นผลมาจากความสามารถในการให้รางวัลกับผู้เปลี่ยนแปลงหรือระงับผลประโยชน์กับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม แต่อำนาจเยี่ยงนี้ย่อมไม่สามารถใช้ได้กับประเทศที่ไม่หวังผลประโยชน์ทางการค้าหรือไม่ต้องการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป นั่นหมายความว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศเหล่านี้คงต้องใช้กำลังเท่านั้น
ยุโรปก็ใช้กำลังทหารเช่นกัน แต่เป็นไปเพื่อการสร้างสันติภาพ มิใช่เพื่อขยายอำนาจ จริงอยู่อำนาจทางการทหารอาจจำเป็นเพื่อปกป้องคุณค่าของยุโรป แต่มิใช่หัวใจของนโยบายต่างประเทศของยุโรป ทหารยุโรปมิได้ถูกเคลื่อนไปเพื่อควบคุมประเทศอื่น แต่เพื่อเข้าไปจัดการกับเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดสงคราม กลยุทธ์หลักที่ผู้นำชาวยุโรปนำมาใช้ก็คือ เริ่มลงมือก่อนและเร็วที่สุด พวกเขาต้องการใช้อำนาจในขณะที่มีโอกาสที่จะทำงานก่อนการตกลงกันทางการเมืองเพื่อมิให้นักการเมืองใหม่ปฏิเสธที่จะทำตามสัญญาตามที่ตกลงกัน เป้าหมายในการเข้าปฏิบัติการก็คือ พยายามช่วยสร้างสถาบันทางการเมืองที่มีเสถียรภาพมากกว่าทำเพียงแค่กำจัดภัยคุกคามที่ทำให้เกิดสงคราม ชาวยุโรปทราบดีว่าพวกเขาจะไม่สามารถดำรงชีวิตอย่างมั่งคั่งได้หากเพื่อนบ้านยังคงมีสงครามอยู่เสมอ พวกเขาจึงจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือในการจัดการเรื่องคนกลุ่มน้อย ภัยคุกคามต่อการก่อสงครามและปลดอาวุธ การลงมือก่อนที่ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นจนยากที่จะควบคุมนั้นมีต้นทุนต่ำกว่าและสร้างความเสียหายต่อชีวิตน้อยกว่ามาก พวกเขามีเป้าหมายใหญ่อยู่ที่การสร้างชาติ และเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ทิศทางที่ต้องการ สหภาพยุโรปจึงพยายามช่วยปรับโครงสร้างทางด้านกฎหมายและการเมืองในประเทศเพื่อนบ้านให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของสหภาพยุโรป
กลยุทธ์ข้างต้นทำให้ชาวยุโรป 25 ประเทศใช้เงินทางการทหารเพียงแค่ 180 พันล้านยูโรต่อปี น้อยกว่าชาวอเมริกันที่ใช้เงินมากถึงปีละ 330 พันล้านยูโร ยุโรปส่งทหารไปเพียงแค่ 85,000 คนในขณะที่อเมริกันส่งทหารไปทั่วโลกถึง 400,000 คน วิธีการของชาวยุโรปสามารถที่จะสร้างสันติภาพได้เช่นกันโดยไม่จำเป็นต้องแข่งขันทางการทหารกับสหรัฐฯ สงครามในโคโซโวพิสูจน์ให้เห็นอย่างแจ่มชัดแล้วว่า การที่สหรัฐฯ ใช้กำลังทหารถึง 15,000 คนร่วมกับอาวุธอันทันสมัยไม่สามารถจัดการกับกองกำลังที่รบแบบกองโจรได้ สงครามในคาบสมุทรบอลข่าน โซมาเลีย อัฟกานิสถาน อิรัก หรือเชคเชนยาล้วนมิได้สู้รบกันบนสนามรบ แต่เป็นการรบกันบนท้องถนน การที่สหรัฐส่งกองกำลังทหารเข้าไปในประเทศเหล่านี้ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและไม่ยอมรับ ชาวยุโรปยืนกรานว่าการใช้อำนาจเปลี่ยนแปลงโลกควรใช้วิธีการแบบใหม่ผ่านการให้ความช่วยเหลือ การค้า และการช่วยพัฒนาซึ่งจะทำให้สงครามเกิดได้ยากขึ้น การที่ยุโรปไม่สามารถมีกองกำลังทหารอยู่เป็นเวลานานทำให้พวกเขาจำเป็นต้องหาหนทางใหม่ในการสร้างอำนาจจนเป็นที่มาของการใช้อำนาจผ่านทางกฎหมาย และการค้านั่นเอง
สหภาพยุโรปพยายามที่จะเป็นตัวอย่างของประเทศสวรรค์บนดิน พวกเขาออกนำสหรัฐฯ แทบทุกข้อบ่งชี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการแข่งขัน งานด้านวิจัยและพัฒนา รวมทั้งนวัตกรรมต่าง ๆ แม้แต่ฟินแลนด์ประเทศที่เคยยากจนที่สุดประเทศหนึ่งในโลกเมื่อหลายสิบปีก่อนก็กลายเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารไปแล้ว ผลิตภัณฑ์โนเกียของฟินแลนด์ครอบครองตลาดโทรศัพท์มือถือมากกว่า 30% และ Linux ก็เป็นคู่แข่งที่สำคัญของไมโครซอฟท์
มูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในสังคมยุโรปมิได้ผ่านอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เกิดจากคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในขณะที่ GDP ของยุโรปเติบโตด้วยอัตราพอ ๆ กันกับสหรัฐฯ แต่ชาวอเมริกันต้องทำงานด้วยเวลาที่ยาวนานกว่า และมีวันหยุดน้อยกว่า แท้ที่จริงแล้วชาวอเมริกันรู้สึกว่าค่าแรงของพวกเขาลดต่ำลงด้วยซ้ำ ระหว่างปี 1973-95 รายได้ที่แท้จริงของชาวอเมริกันลดลงไปถึง 14% ข้อมูลที่ถูกซ่อนไว้ก็คือ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นผลมาจากอัตราการเพิ่มของประชากรมิใช่จากศักยภาพทางธุรกิจ ทั้งนี้เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนั้นอัตราการเจริญเติบโตของประชากรสหรัฐฯ เท่ากับ 1.2% ในขณะที่อัตราการเจริญเติบโตของประชากรของยุโรปเพิ่มเพียงแค่ 0.5% เท่านั้น ในช่วงนั้นเศรษฐกิจของเยอรมันย่ำแย่อันเป็นผลจากการรวมชาติ ดังนั้นหากไม่นับรวมเยอรมันแล้ว อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของยุโรปก็พอ ๆ กับสหรัฐฯ การที่สหรัฐฯ มีผลผลิตมากกว่ายุโรปส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขามีร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ตามชานเมืองมากกว่า อีกทั้งชั่วโมงทำงานต่อปียังสูงกว่ามากด้วย เช่น ชาวอเมริกันทำงานเฉลี่ยปีละ 866 ชั่วโมงเทียบกับชาวยุโรปทำงานเพียงแค่ปีละ 691 ชั่วโมงเท่านั้น นอกจากนี้ชาวยุโรปยังมีวันลาพักร้อนถึงปีละ 30 วันซึ่งมากกว่าชาวอเมริกันถึง 3 เท่า
ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในยุโรปซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่นั้น ได้ถูกแก้ไขเบื้องต้นด้วย 1. การเพิ่มอายุเกษียณ ปัจจุบันสัดส่วนของคนที่มีอายุเกิน 60 ปีและยังคงทำงานอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จาก 20% ในปี 1960 เป็น 35% ในปี 2000 และคาดว่าจะเท่ากับ 47% ในปี 2020 และ 70% ในปี 2050 นโยบายนี้จะสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนรายได้ในอนาคตได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากสัดส่วนของภาระต่อผู้เสียภาษีจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลทุกประเทศในยุโรปจึงพยายามเพิ่มอายุเกษียณจาก 60 ปีเป็น 65 ปีโดยไม่เพิ่มผลประโยชน์ให้กับคนเกษียณซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายไม่เพิ่มขึ้นได้ 2. เพิ่มแรงจูงใจของการมีบุตรด้วยการเพิ่มเงินช่วยเหลือ 3. เพิ่มจำนวนผู้อพยพโดยให้สัดส่วนเพิ่มขึ้นตามคุณภาพของคนที่ต้องการ
เหตุผลที่เศรษฐกิจยุโรปเติบโตดีก็คือ 1. เงินยูโร การที่สหรัฐฯ มีหนี้สินมากมายและพยายามพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาอันจะทำให้ค่าเงินลดลงเรื่อย ๆ จนนักลงทุนเบื่อหน่ายและขาดความเชื่อถือ 2. พลังงาน ยุโรปกลายเป็นทวีปแรกที่เป็นอิสระต่อพลังงาน ชาวยุโรปเชื่อว่าพวกเขาต้องเปลี่ยนวิธีการใช้พลังงานแบบเดิมเพื่อให้คนรุ่นต่อไปสามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกได้ อีกทั้งยังทำให้สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนด้วย
ข้อตกลงสต็อกโฮมเป็นสัญญาที่รัฐสัญญาว่าจะตระเตรียมทรัพยากรทางการศึกษา การสาธารณสุข และการดูแลเด็กเพื่อให้ประชาชนสามารถที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งทำให้ผู้อพยพควบรวมเข้ากับสังคมของชาวยุโรปได้ ชีวิตแบบชาวยุโรปกลายเป็นข้อเสนอที่ยากจะต่อต้านได้หลังจากที่มนุษย์ได้รับการเติมเต็มทางด้านความต้องการพื้นฐานแล้ว เพราะมันเป็นชีวิตที่จะสามารถอยู่อย่างอิสระ มีเสถียรภาพ และมีสวัสดิการสังคมที่ดีภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
แม้การรวมตัวกันในสหภาพยุโรปจะทำให้ทุกประเทศดูเหมือนจะสูญเสียอำนาจอธิปไตยไปจากการที่คณะกรรมาธิการยุโรปจะมิได้มาจากการเลือกตั้ง แต่การลงคะแนนเสียงก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องใช้เสียงถึง 3 ใน 4 ถึงจะออกกฎระเบียบได้ ถึงกระนั้นก็ตาม ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปกลับได้รับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตัวเองมากกว่าประเทศอื่น ๆ เสียอีก ทั้งนี้เพราะรัฐมนตรีของสมาชิกแต่ละประเทศร่วมอยู่ในสภายุโรปซึ่งเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ที่ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกที่ต้องการเข้าถึงตลาดร่วมยุโรปจำเป็นต้องทำตาม ในขณะที่ประเทศอื่นสามารถมีอำนาจอธิปไตยของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่กลับขาดความสามารถในการกำหนดกฎเกณฑ์และจำเป็นต้องผลิตสินค้าตามมาตรฐานที่ถูกกำหนดโดยสหภาพยุโรปหากพวกเขาต้องการส่งสินค้าไปขายในภูมิภาคนี้
การรวมกันเป็นสหภาพยุโรปเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ประเทศเล็ก ๆ ทั้งหลายสามารถที่จะควบคุมตลาดโลกได้ สหภาพยุโรปอนุญาตให้สมาชิกสามารถเข้าถึงตลาดใหญ่โดยไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร และต่างก็สามารถที่จะเจรจาต่อรองให้ได้สถานะที่ดีที่สุดกับทั่วโลก พวกเขาก็ยังอนุญาตให้นักการเมืองของแต่ละประเทศตัดสินใจเรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญเอง เช่น เรื่องอัตราภาษี สาธารณสุข การศึกษาและการทหารจึงเท่ากับว่าพวกเขาให้อำนาจกับนักการเมืองแต่ละประเทศในการตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการจะอยู่ในประเทศแบบไหน
ของขวัญที่ดีที่สุดที่สหภาพยุโรปมอบให้ชาวยุโรปก็คือการมีทางเลือก ชาวยุโรปเป็นชนชาติที่มีอิสรภาพมาก พวกเขามีอำนาจที่จะเลือกอาหารที่จะกิน มหาวิทยาลัยที่จะเรียน งานที่จะทำ และของที่จะผลิต วัยรุ่นดับลินสามารถที่จะเดินทางไปทำแท้งที่อังกฤษได้อย่างเสรี เพราะกฎหมายอังกฤษอนุญาตให้การทำแท้งเป็นเรื่องถูกต้อง เกย์ชาวฮังการีสามารถเดินทางไปแต่งงานที่โคเปนเฮเกนเพราะกฎหมายเดนมาร์กอนุญาตให้เกย์แต่งงานได้ เมื่อชาวยุโรปสามารถเลือกได้อย่างเสรี พวกเขาจึงมักเปรียบเทียบนโยบายหรือสวัสดิการที่ประเทศตัวเองให้กับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป พวกเขาก็ใช้การเปรียบเทียบนี้กดดันให้รัฐบาลเพิ่มสวัสดิการให้กับตัวเองด้วย นั่นหมายความว่า การรวมตัวกันของชาวยุโรปทำให้แต่ละประเทศพยายามแข่งขันกันเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุด เช่น โรงพยาบาลที่ดีที่สุด โรงเรียนที่สร้างสรรค์ที่สุด
แม้สภายุโรปจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่เรื่องที่พวกเขาตัดสินใจกลับมิใช่เรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจมากนัก เช่น นโยบายการเงิน การค้าเสรี การเลิกพิกัดศุลกากร การกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม การให้ความช่วยเหลือกับต่างประเทศ และนโยบายการเมืองระหว่างประเทศ ส่วนเรื่อง 5 เรื่องสำคัญที่ชาวยุโรปให้ความสนใจอันประกอบไปด้วยเรื่องสาธารณสุข การศึกษา กฎหมาย บำนาญ นโยบายความปลอดภัย และภาษี นั้นล้วนอยู่ในมือของนักการเมืองในแต่ละประเทศทั้งนั้น
ปัจจุบันสหภาพยุโรปต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ นั่นคือ ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อนบ้านที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์เก่าเพื่อให้พวกเขามีศักยภาพมากพอที่จะเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปได้ ยุโรปไม่คิดจะใช้กำลัง เนื่องจากมันจะทำให้สาธารณูปโภคและสาธารณูปการถูกทำลายไปหมด สงครามย่อมทำให้การสร้างชาติเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ชาวยุโรปเชื่อว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงจากภายในใช้ต้นทุนที่น้อยกว่าและโอกาสที่จะสำเร็จยังง่ายกว่าด้วย ตัวอย่างที่ปรากฏให้เห็นมาแล้วก็คือ ใน Georgia เมื่อ Mikhail Saakashvili นักศึกษาจากสหรัฐฯ อายุ 35 ปีได้ยื่นกุหลาบให้กับประธานาธิบดี Georgia และขอร้องให้เขาลาออก ในที่สุดประธานาธิบดีก็ตัดสินใจลาออก และ Saakashvili ก็ได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงมากถึง 96% จากสัญญาที่เขาให้ไว้ นั่นคือ เขาจะพาประเทศเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปให้ได้ อย่างไรก็ดีการเปลี่ยนแปลงเพื่อนบ้านที่เป็นชาติอาหรับอาจไม่ง่ายเหมือนอย่าง Georgia ทั้งนี้เพราะอาหรับยังไม่ได้อยู่ในรายชื่อของการมีโอกาสแม้แต่สมัครเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ไม่เหมือนอย่างโรมาเนีย บัลกาเรีย หรือตุรกี
ความท้าทายที่สำคัญอีกประการก็คือ การแสดงให้เห็นความจริงใจ เช่น กรณีของตุรกี ชาวตุรกีต่างรู้สึกสงสัยในความตั้งใจของสหภาพยุโรปในการยอมรับตุรกีเข้าเป็นสมาชิก ทั้งนี้เพราะผู้นำของสหภาพยุโรปพูดอย่างหนึ่งกับผู้นำตุรกี แต่พูดอีกอย่างหนึ่งกับคนในประเทศตัวเอง
การสิ้นสุดของสงครามเย็นและโลกาภิวัฒน์ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 3 ประการคือ 1. จากโลกตะวันตกสู่โลกตะวันออก 2. จากระเบียบที่เน้นการปกป้องสิทธิของรัฐกลายเป็นการป้องกันสิทธิส่วนตัว 3. จากระบบที่ให้ความสำคัญกับอำนาจของรัฐเดี่ยวเป็นการรวมตัวกันเป็นภูมิภาค
ความสัมพันธ์ระหว่างแอตแลนติกคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เมื่อสหภาพยุโรปได้พยายามที่จะสร้างแม่แบบของระเบียบโลกใหม่ อำนาจจะเคลื่อนจากตอนเหนือและตกวันตกไปสู่ตอนใต้และตะวันออกอย่างแน่นอน การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดียจะทำให้ขนาดเศรษฐกิจของพวกเขาเกินหน้าสหรัฐฯ ได้ในเวลาไม่ถึงกึ่งศตวรรษ ความตกต่ำของอำนาจของสหรัฐฯ ก็เริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว เมื่อ McCann Erickson บริษัทโฆษณาแนะนำให้ลูกค้าเลิกติดธงสหรัฐฯ บนสินค้าที่ขายเข้าสู่ตลาดโลก
ทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปจำเป็นที่จะต้องยอมรับว่าปัจจุบันโลกได้มีมหาอำนาจหลายขั้วแล้ว การปฏิเสธรังแต่จะก่อความเป็นศัตรูต่อกันมากขึ้น ความท้าทายใหม่ ๆ ก็คือการรวมเอามหาอำนาจเกิดใหม่เหล่านี้เข้ากับระบบประชาธิปไตยที่ให้คุณค่ากับสิทธิมนุษยชน และตลาดเสรี ในการจัดการกับภัยคุกคามต่อโลกาภิวัฒน์นั้น แต่ละประเทศจะต้องจัดการกับปัญหาภายในในเรื่อง มาตรฐานในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการก่อการร้าย หยุดยั้งการสะสมกำลังอาวุธที่จะนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการลงโทษอาชญากร
ในช่วงที่ประธานาธิบดีจอร์จ บุชเรืองอำนาจ แทนที่เขาจะใช้นโยบายแก้ไขปัญหาผู้ก่อการร้ายที่ต้นเหตุ เขากลับใช้การเข้าไปสกัดกั้นผู้ก่อการร้ายในประเทศต่าง ๆ แทน จริงอยู่สหรัฐฯ ยังคงแก้ปัญหาบางอย่างในสังคมโลก เช่น เกาหลีเหนือ แต่ปฏิบัติการของพวกเขาก็เป็นไปเพราะประเทศเหล่านี้เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ เท่านั้น ส่วนปัญหาในภูมิภาคอื่น ๆ สหรัฐฯ ก็ไม่ใส่ใจ สหรัฐฯ จึงพ่ายแพ้จากนโยบายของตัวเอง นับวันความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐฯ จะยิ่งลดลง ตัวอย่างเริ่มมีให้เห็นแล้ว เช่น เมื่อบอสเนียประกาศตัวเป็นอิสรภาพ สหภาพยุโรปกลายเป็นตัวแทนของนาโต้ในการเข้าไปสะสางปัญหา หรือแม้แต่เมื่อติมอร์ตะวันออกพังทลายลง สหประชาชาติก็ให้ทหารออสเตรเลียเข้าไปแก้ไขปัญหาแทนที่จะเป็นทหารอเมริกัน ส่วนการแก้ไขปัญหาในคอนโกนั้น สหประชาชาติก็ใช้ทหารชาวแอฟริกันเอง ถึงกระนั้นก็ตามสหรัฐฯ ยังคงต่อต้านแนวทางของสหภาพยุโรปอยู่ดี แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว สหรัฐฯ ต้องการสหภาพยุโรปอย่างมาก
การรวมตัวกันในภูมิภาคลาตินอเมริกาก็เป็นผลมาจากการที่ผู้นำของประเทศต่าง ๆ มองเห็นความสำเร็จของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ประเทศต่าง ๆ ยังตระหนักแล้วว่าการต่อรองแบบทวิภาคีกับสหภาพยุโรปทำให้พวกเขายุ่งยากและเสียเปรียบได้ง่าย แต่กลุ่มความร่วมมือต่าง ๆ ไม่เพียงสามารถลดทอนแรงกดดันหรือการแข่งขันในประวัติศาสตร์ได้เท่านั้น ยังเป็นการฟูมฟักประชาธิปไตยและส่งเสริมการควบรวมทางด้านอธิปไตยด้วยอันจะทำให้การแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศง่ายขึ้น เช่น อาชญากรรมระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการสร้างอำนาจต่อรองในเวทีโลกได้ด้วย
เมื่อห้าร้อยปีก่อน ยุโรปได้สร้างสิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจัดการทางด้านการเมืองที่เรียกว่า ชาติ แต่ในครึ่งศตวรรษหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 พวกเขาอีกเช่นกันที่เป็นผู้สร้างต้นแบบใหม่ นั่นคือ การร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่เรียกว่า สหภาพยุโรป คนส่วนใหญ่เชื่อว่าสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 ทุกประเทศจะต้องเป็นสมาชิกของกลุ่มการรวมตัวกันเป็นภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งเพื่อที่จะมีที่นั่งในสังคมโลก ผลของการรวมตัวกันเป็นภูมิภาคนี้ได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งได้ให้ความหมายใหม่กับคำว่าอำนาจในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ด้วย อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการรวมตัวกันเช่นนี้ก็เพราะทุกประเทศต้องการหนีให้พ้นจากโลกที่มีมหาอำนาจแต่เพียงหนึ่งเดียว ทั้งนี้เพราะไม่มีประเทศใดในโลกต้องการถูกชี้นิ้วจากประเทศมหาอำนาจหรือสถาบันโลกที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้
การที่ยุโรปเป็นกลุ่มประเทศผู้บริจาคสูงสุด พวกเขาสามารถที่จะใช้เงินช่วยเหลือนี้ส่งเสริมการให้ความร่วมมือในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งใช้เงินสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้เศรษฐกิจควบรวมกันมากขึ้น รวมทั้งให้เงินกับองค์กรที่เสริมสร้างความมั่นคงในประเทศ ในไม่ช้าแม้แต่สหรัฐฯ เองก็จำเป็นที่ต้องเข้าควบรวมกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง การพยายามแยกตัวรังแต่จะเป็นการทำร้ายตัวเอง การเข้าไปส่วนหนึ่งยังจะเป็นการส่งเสริมอำนาจของสหรัฐฯ ด้วย
ข้อคิดเห็น ประสบการณ์จากความสำเร็จของสหภาพยุโรปแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้วว่า การสร้างระเบียบโลกใหม่ไม่ควรเริ่มจากการพยายามที่จะก่อตั้งอะไรที่ดูใหญ่โต แต่ควรที่จะเริ่มจากความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาที่ได้รับความกดดันร่วมกันก่อนด้วยการสร้างกลุ่มความร่วมมือที่ต้องให้ความร่วมมือกันที่คาบเกี่ยวกันไปมา เช่น กลุ่มความร่วมมือทางการค้า แก้ปัญหานิวเคลียร์ การพัฒนาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาโรคที่เป็นภัยคุกคามอันจะทำให้กลุ่มความร่วมมือเหล่านี้หันมาร่วมมือกันในขนาดใหญ่ขึ้น และกว้างขวางขึ้นต่อไปได้
ในคริสต์ศตวรรษหน้า มนุษย์อาจเรียกว่าเป็นศตวรรษของยุโรป แต่ไม่ใช่เพราะยุโรปกลายเป็นผู้นำของจักรวรรดิ แต่เป็นเพราะแนวทางของยุโรปได้กลายเป็นตัวกำหนดประชาคมโลกไปเสียแล้ว
ผู้เขียนมองยุโรปในแง่ดีมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายต่างประเทศในการจัดการกับปัญหาระหว่างประเทศ เขาเชื่อว่าวิธีการของยุโรปสามารถจะสร้างโลกใหม่ที่สงบ สันติและประชาชนสามารถที่จะมีความสุขได้อย่างแท้จริง
