โดย พญ.นภาพร ลิมป์ปิยากร
คนส่วนหนึ่งมักรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์และน่าสนใจมากขึ้น เพราะพวกเขารู้ดีว่าปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คนที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตต้องปรับตัว และมีคุณสมบัติใหม่เหล่านี้ พวกเขาจึงพยายามค้นหาสูตรสำเร็จจากหนังสือต่าง ๆ ที่จะทำให้พวกเขาสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมของตัวเองได้ 59 Seconds : Think a Little, Change a Lot ของ Richard Wiseman ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและจิตแพทย์ชาวอังกฤษที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุดคนหนึ่งตามสื่อของอังกฤษก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่จะช่วยเหลือผู้คนให้สามารถที่จะพัฒนาคุณสมบัติเหล่านี้ได้ หนังสือจะพูดถึงหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตในเวลาน้อยกว่าหนึ่งนาที ผู้อ่านจะพบว่าทำไมอุตสาหกรรมที่พูดถึงการช่วยเหลือตัวเองจึงมักนำพาไปผิดทิศทาง ทำอย่างไรจึงจะสามารถใช้จิตวิทยาในการแก้ไขปัญหาได้ดีกว่านี้
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ก่อนการเข้างาน คนส่วนใหญ่ต้องถูกสอบสัมภาษณ์ และคนที่สัมภาษณ์ผ่านเท่านั้น จึงจะได้งาน ทำอย่างไรจึงจะสามารถเป็นผู้เข้าสอบสัมภาษณ์ที่เป็นที่ชื่นชอบ ในการสอบสัมภาษณ์นั้น ปกติแล้ว ผู้ที่สอบผ่านมักเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์ที่ถูกต้องใช่หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่ ผู้ที่สอบสัมภาษณ์ผ่านและได้งานคือคนที่เป็นที่ชื่นชอบต่างหาก นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตันพบว่า คนที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดจะเป็นคนที่ได้รับงาน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อะไรที่ทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์ชอบล่ะ 1. พูดถึงสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน 2. ยิ้ม 3. พูดถึงสิ่งที่ดีเกี่ยวกับองค์กรผู้จ้าง 4. พูดถึงข้อด้อยของตัวเองบ้าง 5. พูดถึงข้อดีของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ 6. อย่าแสดงความตื่นตระหนก หากมีการทำผิดพลาด เพราะแท้ที่จริงแล้ว ผู้สัมภาษณ์อาจไม่เห็นข้อผิดพลาดเลย แต่การไปกล่าวถึง กลับเป็นการชี้ให้ผู้สัมภาษณ์มองเห็น การมีความผิดพลาดเป็นครั้งคราว และหลีกเลี่ยงการนินทาจะทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ดูเป็นคนจริงใจ
นอกจากนี้ การเป็นที่ชื่นชอบไม่เพียงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการสอบสัมภาษณ์เท่านั้น ยังเป็นข้อดีสำหรับการเข้าสังคมด้วย ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่มีใครชอบ ใครต่อใครมักต่อต้านคุณ
ยิ่งกว่านั้น คนมีความสามารถและน่าสนใจมักมิใช่คนที่สมบูรณ์แบบตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะคนไม่สมบูรณ์แบบคือคนที่เหมือน ๆ กับคนทั่วไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณจะสามารถแสดงความไม่สมบูรณ์แบบตลอดเวลาได้ ก็ต่อเมื่อคุณต้องเป็นคนที่มีความสามารถสูงจริง ๆ ไม่เช่นนั้น ความผิดพลาดจะทำให้คุณดูไม่น่าสนใจ นอกจากนี้การเป็นคนที่มีแต่คนชอบ ควรจะหลีกเลี่ยงการนินทา เพราะมันทำให้เห็นว่าคุณเป็นคนมองคนในแง่ร้าย หากคุณต้องการเป็นที่ชื่นชอบ ควรพูดแต่เรื่องดี ๆ ของคนอื่นเท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงอีกเรื่องที่สำคัญก็คือ หมั่นกระตุ้นตัวเองโดยเลิกคิดแต่เรื่องเพ้อฝัน ปัจจุบันหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองมักเน้นให้คนที่ต้องการประสบความสำเร็จจินตนาการให้เห็นภาพตัวเองที่ประสบความสำเร็จ แต่การทำเช่นนี้ไม่สามารถทำให้คนประสบความสำเร็จได้ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียพบว่า นักศึกษาที่จินตนาการถึงความสำเร็จกลับได้คะแนนน้อยกว่านักศึกษากลุ่มอื่น นักวิจัยเชื่อว่า การที่นักศึกษาที่สร้างจินตนาการประสบความสำเร็จน้อย เพราะคนกลุ่มนี้กลับไม่ได้เตรียมตัวสำหรับความล้มเหลวจึงขาดความสามารถในการพยายามทำให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย
สิ่งที่สำคัญสำหรับความสำเร็จที่แท้จริงก็คือ การสร้างแผนงานที่ถูกต้อง การศึกษาในผู้เข้าร่วมการศึกษา 5 พันคนที่มีเป้าหมายต่าง ๆ กันพบว่า คนที่มีแผนจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ไม่มีแผน วิธีการสร้างแผนที่ดีก็คือ การตั้งเป้าหมายและแบ่งเป้าหมายเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ทีละขั้น การทำเช่นนี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติมีความหวาดกลัวและลังเลน้อยลง อีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จก็คือ การบอกเพื่อนและครอบครัว นักจิตวิทยาพบว่า หากมนุษย์ป่าวประกาศถึงแผนของตัวเองต่อสาธารณชน พวกเขาต้องพยายามทำให้มันสำเร็จ ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาเองจะเสียหน้า
คนส่วนใหญ่คิดว่า ความคิดสร้างสรรค์มักเกิดจากการระดมสมอง และการร่วมมือร่วมใจกันทำงาน มักทำให้คนเราประสบความสำเร็จมากกว่า ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ นักวิจัยพบว่า เมื่อให้คนคนเดียวยกของ เขาจะยกได้ 185 ปอนด์ แต่เมื่อให้หลาย ๆ คนช่วยกันยก เขากลับยกได้เพียงแค่ 140 ปอนด์ ทั้งนี้เพราะ การร่วมกันทำงานทำให้ความรับผิดชอบถูกกระจายออกไป แต่การทำงานเพียงคนเดียว ผลสำเร็จหรือความล้มเหลว มีเพียงตัวเราต้องรับผิดชอบ เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ การช่วยเหลือกันทำงาน ก็สู้การทำงานคนเดียวไม่ได้ แล้วนวัตกรรมหรือความคิดใหม่ ๆ มิเกิดขึ้นได้ยากหรือ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัมพบว่า ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์เกิดขึ้นในช่วงที่สมองถูกหันเหไปยังเรื่องอื่นและปล่อยให้สมองส่วนจิตใต้สำนึกทำงานสร้างสรรค์ความคิดใหม่ ๆ ดังนั้นเมื่อเราต้องแก้ปัญหา เราอาจจำเป็นต้องหยุดคิดถึงเรื่องนั้น ๆชั่วครู่โดยหันเหออกจากปัญหาชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้จิตใต้สำนึกทำงานแทน
ส่วนการสร้างแรงบันดาลใจในการคิดสร้างสรรค์นั้นมักทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยการเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมมีผลต่อความคิด และมีอิทธิพลต่อการตอบสนองด้วย เช่น ถ้าเราเพิ่มความหอมของกลิ่นสะอาดเข้าไปในบรรยากาศ ผู้คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นจะให้ความสำคัญกับความสะอาดมากขึ้น นอกจากการรองพื้น (background) ด้วยบรรยากาศที่ต้องการแล้ว การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ประกอบด้วยดอกไม้และต้นไม้ยังเพิ่มความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ด้วย ทั้งนี้เพราะบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติลดทอนความเครียด และเพิ่มอารมณ์สุนทรีจึงส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
นอกจากนี้ การจดจ่ออยู่กับประโยชน์ที่จะได้รับก็มักทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ในสภาวะการหย่าร้าง ความเจ็บป่วย หรือความเครียดนั้น มนุษย์มักรู้สึกขาดความสุข การหลีกหนีจากสภาวะดังกล่าวมักสามารถลดทอนความทุกข์ได้ชั่วคราว แต่วิธีการที่ดีกว่าก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์ที่ได้รับจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นั้น การศึกษาพบว่า เมื่อให้นักศึกษา 300 คนคิดถึงเหตุการณ์ด้านลบที่ทำร้ายความรู้สึกพวกเขา กลุ่มที่คิดถึงผลประโยชน์ที่น่าจะได้รับจากเหตุการณ์นั้น ๆ มักสามารถจัดการกับความโกรธและความทุกข์ได้ดีกว่า การศึกษายังพบว่า หลังจากหายจากอาการป่วยหนัก ผู้ป่วยมักมีระดับความกล้าหาญ ความกระตือรือร้น และอารมณ์ขันมากขึ้น อีกทั้งยังมองเห็นความสวยงามของโลกได้มากขึ้นด้วย
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์นั้น วิธีการหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างราบรื่นก็คือ การพูดคุยอย่างอ่อนหวานและใส่ใจ นักจิตวิทยาพบว่า การให้ความเห็นในเชิงบวกส่งผลให้คู่สมรสอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมากกว่าการให้ความเห็นเชิงลบถึง 5 เท่า นอกจากนี้การเขียนถึงความคิดและความรู้สึกต่อคู่สมรสก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ดีในการกระชับความสัมพันธ์ นักวิจัยพบว่า คู่สมรสที่เขียนถึงความนึกคิดและความรู้สึกต่อสัมพันธภาพ 20 นาทีทุก ๆ วันติดต่อกันนาน 3 วันจะอยู่ด้วยกันยืดกว่า ยิ่งกว่านั้น การใช้คำว่าแต่ ยังเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีได้ การศึกษาพบว่า การที่คู่สมรสรู้จักใช้คำว่าแต่ ทำให้พวกเขาสามารถที่จะแก้ไขปัญหาและมีสัมพันธภาพที่ดี เช่น สามีขี้เกียจ แต่ก็ทำให้ภรรยาหัวเราะได้เสมอ หรือภรรยาทำอาหารไม่เก่ง แต่มันเลยทำให้เราออกไปกินอาหารนอกบ้านบ่อยขึ้น
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังนำเสนอเทคนิคในการใช้จิตวิทยาค้นหาการโกหกด้วย คนส่วนใหญ่มักคิดว่า คนโกหกมักพยายามที่จะปกปิดความผิด จึงมักมีอาการผิดปกติให้เห็น ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ แท้ที่จริงแล้ว เวลาที่คนเราโกหกนั้น พวกเขาไม่ได้มีความเครียดหรืออาการผิดปกติใด ๆ ให้จับได้เลย แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่า คนโกหกมักดูเหมือนจะคิดมาก และคิดอยู่นานเกินไปอย่างไม่สมเหตุผล นอกจากนี้การตอบคำถามมักดูห่างเหิน และพยายามที่จะเลี่ยงคำถามมากกว่า เมื่อคนเราโกหก เขามักมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำถามราวกับกำลังคิดถึงปัญหา ทั้ง ๆ ที่คำถามเป็นเรื่องที่ตอบได้ง่าย ๆ คนโกหกจึงมักต้องใช้เวลานานกว่าจะตอบ โดยจะมีการหยุดเป็นช่วง ๆ และมีท่าทางลังเลหลายครั้ง ทั้งนี้เพื่อปกปิดความจริง และพยายามคิดย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ตนเองเคยพูดไว้ นอกจากนี้พวกเขายังมักเลี่ยงคำที่ใช้แทนตัวเองด้วย บางทีคนโกหกก็พยายามหันเหความสนใจด้วยการหันมาตั้งคำถามกับตัวเองแทน เป็นต้น ส่วนการจับโกหกที่ง่ายที่สุดก็คือ การเขียนถามทางจดหมายอิเล็กทรอนิก ผู้เชี่ยวชาญพบว่า การเขียนอีเมล์ลดทอนการโกหกลงถึง 20% เพราะข้อมูลที่เขียนจะถูกบันทึกอยู่
สำหรับการค้นหาเป้าหมายและความก้าวหน้าในชีวิตนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การคิดว่าตัวเองต้องการถูกจดจำอย่างไรเมื่อเสียชีวิตแล้ว เป็นการเปิดเผยถึงเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตที่ดีที่สุดวิธีการหนึ่ง วิธีการที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดก็คือ การจินตนาการถึงตัวเองในงานศพว่าต้องการได้รับคำสรรเสริญถึงตัวเองอย่างไรนั่นเอง
กล่าวโดยสรุปก็คือ หนังสือเล่มนี้ได้ให้หลักคิดง่าย ๆ ในการปรับปรุงชีวิต เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น เป็นที่ชื่นชอบมากขึ้น สร้างสัมพันธภาพที่ดีขึ้นเพื่อให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายและความก้าวหน้าได้ในเวลาเพียงแค่ 59 วินาที
