โดย พญ.นภาพร ลิมป์ปิยากร
คนส่วนใหญ่ทราบดีแล้วว่า ความคิดมีผลต่อการดำรงชีวิต เราจะเห็นว่าคนที่มีความคิดที่ต่างกัน มีระดับความสุขไม่เท่ากัน แล้วความคิดแบบไหนกันแน่ ที่ทำให้เรามีความสุข และเราสามารถสร้างความคิดเพื่อความสุขได้หรือไม่ The Power of Positive Thinking ของ Dr. Norman Vincent Peale ศาสนจารย์ชาวอเมริกันซึ่งถูกเขียนขึ้นครั้งแรกในปี 1993 และขายดีถึง 5 ล้านก็อปปี้นี้จะตอบคำถามข้างต้นและยังจะอธิบายถึง 1. สาเหตุที่ความคิดมีอิทธิพลต่อความเป็นจริงในชีวิต 2. บอกวิธีการในการปรับทัศนคติลบให้เป็นบวก 3. อธิบายว่าเหตุใดศรัทธาจึงช่วยให้มนุษย์เดินทางไปถึงเป้าหมาย และมีความสุข แม้สิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอในหนังสือเล่มนี้อาจยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่บ้าง และผู้อ่านส่วนหนึ่งก็อาจยังไม่เห็นด้วยกับทุกสิ่งที่ผู้เขียนพูดก็ตาม แต่หนังสือก็ยังให้ประโยชน์กับผู้อ่านอย่างแน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเพ่งไปถึงผลลัพธ์ที่เป็นบวก การชื่นชมผู้คนรอบข้าง และการทำให้ผู้อ่านมีความสุขและมีสุขภาพดี
โดยทั่วไป เมื่อเรารู้สึกต่ำต้อยหรือมีความรู้สึกลบ เราก็ยิ่งมีโอกาสสูงที่จะได้ผลลัพธ์ที่เป็นลบ เช่น เมื่อเราเริ่มต้นงานใหม่ด้วยความคิดที่ว่า เราไม่เหมาะกับงาน และไม่มีใครชอบเรา เราก็จะพยากรณ์ถึงอนาคตที่ย่ำแย่ และเมื่อเรารู้สึกต่ำต้อย คุณก็มองว่าอนาคตไม่สดใสซึ่งนำไปสู่วงจรอุบาทว์อย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ แต่หากเรามีความมั่นใจ เราก็รู้สึกว่าคุณมีอำนาจมากพอที่จะกำหนดชะตาชีวิตตามที่ตัวเองต้องการ
วิธีการง่าย ๆ ในการแก้ไขปัญหาความคิดลบหรือทัศนคติลบ และเสริมสร้างความมั่นใจก็คือ 1. เขียนรายการของสิ่งที่ตัวเองมีในชีวิต การที่เราสามารถเขียนสิ่งที่เรามี จะทำให้เรามองเห็นความสวยงามของชีวิต เสริมสร้างกำลังใจ 2. มองให้เห็นหรือจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่ดีตามที่เราต้องการ แทนที่จะเอาแต่มองไปที่ปัญหา เช่น เจ้าของแมกกาซีนกำลังมีปัญหารุนแรงจนอาจถึงขั้นปิดตัว เขาใช้วิธีการแก้ปัญหาที่ง่ายมาก นั่นคือ ให้เจ้าหน้าที่ทุกคนจินตนาการว่านิตยสารมีผู้สมัครมากขึ้น และการจินตนาการนั้น ก็นำสมาชิกมาสู่นิตยสารจริง ๆ
- ชื่นชมคนอื่นบ้าง ความปรารถนาที่จะเป็นที่ชื่นชมเป็นพื้นฐานโดยธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการเพื่อน แต่พวกเขากลับสนใจแต่ตัวเอง ดังนั้น พวกเขาจึงรู้สึกทุกข์ทรมานกับความรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ อย่างไรก็ดี มนุษย์ยังคงมีกลยุทธ์ที่จะทำให้ตัวเองเป็นที่ชื่นชอบได้ ด้วยการหยุดคิดลบ ทั้งนี้เพราะเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนไม่ชอบคุณ ก็คือทัศนคติของคุณ คุณสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคุณได้ด้วยการทำตัวเป็นคนง่าย ๆ เช่น เป็นคนซื่อสัตย์ เข้าหาง่าย ชื่นชมคนอื่น แทนที่จะพูดถึงแต่เรื่องของตัวเอง เมื่อคุณมองเห็นส่วนดีของใคร คุณต้องแสดงให้เขาเห็นถึงความคิดคุณ ชื่นชมสิ่งที่เขาทำ เมื่อนั้นเขาก็อยากเป็นเพื่อนคุณอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนการฝึกก็คือ เขียนรายชื่อของคนอื่นที่พบทุกวัน และใช้ความพยายามในการที่จะพูดคุยกับผู้อื่น ชื่นชมผู้อื่น แทนที่จะพูดแต่เรื่องของตัวเอง
- เลิกคิดว่าตัวเองเก่งคนเดียว และแบกปัญหาทั้งหมดไว้คนเดียว ปัญหาของบางคนไม่ได้มาจากการคิดลบ แต่มาจากการที่เขาคิดว่า ไม่มีใครเก่งเท่าเขา เขาต้องทำทุกอย่างเอง ความคิดเช่นนี้นำมาซึ่งภาระอันใหญ่หลวง และก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า การที่คุณคิดเช่นนี้เลยมักพาลทำให้คุณคิดว่าบนโลกนี้ไม่มีใครมีภาระเช่นคุณ ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ นี่เป็นเพียงภาพลวงตาส่วนตัวของคุณเอง ปัญหาของคุณก็เหมือนคนอื่น ๆ อีกหลายล้านคนทั่วโลก นอกจากนี้การที่เราสำคัญตัวผิดว่าเราเป็นคนที่มีความสำคัญมาก และแบกโลกไว้ มันเลยทำให้เราพยายามแก้ไขทุกปัญหาด้วยตัวเอง สร้างแรงกดดันสูง ซ้ำยังทำให้เราขาดความสามารถในการพุ่งเป้าไปยังปัญหาที่สำคัญที่สุดจนก่อให้เกิดความเครียด กลยุทธ์ง่าย ๆ ในการจัดการกับความคิดผิดเช่นนี้ ก็คือ การอธิษฐาน หรือการทำสมาธิ รวมทั้งการพยายามจ่ายงานออกไปให้คนอื่นเพื่อให้เกิดผลลัพธ์เพิ่มขึ้นตามมา การทำสองข้อนี้ไม่เพียงลดทอนความเครียด ยังทำให้สุขภาพดีขึ้นด้วย
ความคิดของมนุษย์เป็นเงื่อนไขสำคัญสุดในการเอาชนะปัญหา หลายคนคงเคยมีความรู้สึกว่าถูกครอบงำโดยปัญหามากมาย จริงอยู่บางปัญหาเป็นปัญหาจริง ๆ และกดดันมาก เช่น ภาระหนี้สิน โรคภัยไข้เจ็บ แต่แท้ที่จริงแล้ว ทัศนคติของคุณต่อปัญหาต่างหากที่สำคัญกว่า หนี้และโรคภัยไม่สามารถแก้ไขได้ในวันเดียว ต้องใช้เวลา แต่คุณสามารถเปลี่ยนทัศนคติได้ทันที หากคุณมีชีวิตอยู่ด้วยการพุ่งเป้าไปที่ความคิดด้านบวก พยายามค้นหาความสงบภายใน คุณก็จะมีกำลังมากพอที่จะเอาชนะปัญหา
โดยทั่วไป มนุษย์สามารถที่จะจัดการกับชีวิตตัวเองด้วยวิธีที่จะนำสันติสุขมาสู่ตัวเองได้ไม่ยาก การปฏิบัติตัวที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การนอนหลับให้สนิทและเพียงพอ การนอนอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การนอนหลับอย่างสนิทและสงบมีความสำคัญยิ่งเพราะมันสร้างเสริมความสดชื่นและพลังงาน การนอนหลับไปพร้อมการอ่านข่าว เป็นการนำไปสู่ความวุ่นวายและกีดกันไม่ให้เราสามารถนอนหลับอย่างเป็นสุขและสงบได้
นอกจากนี้ คนส่วนหนึ่งชอบคิดว่าสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่เป็นผลมาจากความโชคร้ายและสิ่งแวดล้อม ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ โลกของคุณไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความคิดของคุณจากประสบการณ์ของคุณเลย ถ้าคุณคิดเรื่องบวก และพยายามใช้แรงบวกในการแก้ไขปัญหา ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเป็นบวก การคิดลบ ก็พาผลลัพธ์ที่เป็นลบมาให้ และมันยังนำมาซึ่งความเจ็บไข้ได้ป่วยอีกต่างหากด้วย โลกที่คุณอยู่ไม่ได้เป็นผลมาจากเงื่อนไขภายนอก แต่เป็นผลมาจากความคิดที่คุณมีอยู่เป็นประจำนั่นแหละ
เมื่อปัญหาส่วนใหญ่มาจากทัศนคติหรือความคิดลบ ทำอย่างไรเราจึงจะเอาชนะนิสัยชอบทำลาย และขี้วิตกกังวลได้ แท้ที่จริงแล้ว ความวิตกกังวล หรือความรู้สึกขาดความมั่นคงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ขณะที่เรากำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับการเงินหรือสุขภาพนั้น มันเลยก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บและยังเปลี่ยนบุคลิกภาพของเราไปด้วย ความวิตกกังวลเป็นนิสัยอย่างหนึ่งที่มนุษย์สามารถเอาชนะได้ หากพวกเขาตระหนักว่าความวิตกกังวลเป็นต้นตอของปัญหาสุขภาพกายและจิต ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันสูง โรคข้อ ซ้ำยังทำให้อายุสั้นลงอีกต่างหากด้วย วิธีการยุติความวิตกกังวลทำได้ง่ายมาก นั่นคือ จินตนาการว่าตัวเองเป็นคนไม่วิตกกังวลด้วยการสลัดภาระออกจากใจในช่วงก่อนนอน อย่าปล่อยให้มันจมเข้าไปในจิตใต้สำนึก ยิ่งกว่านั้น เรายังต้องสร้างความคิดบวก เช่น ความหวัง ความกล้าหาญ ศรัทธาไปทดแทนความคิดลบไว้ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ความคิดลบผุดขึ้นมาใหม่ ในช่วงที่เราทำการฝึกลบความคิดลบและทดแทนด้วยความคิดใหม่ ๆ นั้น คนส่วนใหญ่มักรู้สึกว่ามันยาก แต่หากคุณต้องการที่จะกลายเป็นคนที่มีความคิดบวกให้ได้ คุณก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องฝึกทุกวันจนกลายเป็นนิสัยใหม่
นอกจากความคิดลบแล้ว สิ่งแวดล้อมที่แสนวุ่นวายของโลกปัจจุบันและการเต็มไปด้วยสิ่งกระตุ้นก็มีส่วนทำให้มนุษย์นอนไม่หลับ เครียด ปวดหัว ขาดความสุข และไม่สามารถหาทางออกได้ ทั้งนี้เพราะการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายตลอดเวลาก่อให้เกิดโรคอ่อนเพลียเรื้อรังและวิตกกังวล มันเป็นเรื่องสำคัญที่มนุษย์ทุกคนควรมีกลยุทธ์ที่ดีในการจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวลที่เกิดจากวิถีชีวิตสมัยใหม่ เช่น 1. การเข้าไปเดินในป่าหรือสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยต้นไม้ เป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยเราผ่อนคลายและสงบลง 2. การเอาอย่างเด็ก เด็กเป็นผู้เชี่ยวชาญในการมีความสุข เด็กมักไม่คิดซับซ้อน พวกเขาจึงมักไม่เรียนรู้ตามที่สังคมคาดหวังให้พวกเขาไม่มีความสุข
- ฝึกจิต ด้วยการพยายามมองหาข้อดีเมื่อเผชิญปัญหา เช่น คุณคงเคยต้องเข้าประชุมที่สำคัญโดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน คุณคงจำความรู้สึกสยดสยองเมื่อต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราทุกคนควรเตรียมตัวที่จะต้องประสบกับอุปสรรค โดยทั่วไป เมื่อเราคาดว่าจะเกิดสิ่งไม่ดีขึ้น เราก็ย่อมจะได้รับผลลัพธ์ที่เลว แท้ที่จริงแล้วเมื่อเราพุ่งเป้าไปที่ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด ก็เท่ากับเราหยุดยั้งมิให้อำนาจไหลผ่านเรา และตัดความสามารถในการจัดการกับอุปสรรคที่ขวางหน้า หากแม้คุณตั้งใจที่จะจัดการกับอุปสรรค แต่ความคิดลบก็จะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าแท้ที่จริงแล้วคุณมีอำนาจน้อยมากที่จะจัดการกับมัน นั่นหมายความว่า วิธีการในการจัดการกับอุปสรรคถูกกำหนดโดยทัศนคติของเรา ถ้าคุณเชื่อว่าคุณสามารถจัดการได้ คุณก็จะจัดการได้ คุณจึงควรมีทัศนคติว่า ทุกปัญหาแก้ได้เสมอ เพียรฝึกคิดทางบวก และมองหาทุกโอกาสที่เป็นไปได้
จริงอยู่ จิตใต้สำนึกมักเตือนเราว่าปัญหาแก้ไม่ได้ แต่เราสามารถฝึกจิตใต้สำนึกให้เป็นบวกได้ สามารถที่จะเลิกคิดถึงผลลัพธ์ที่เป็นลบ และพุ่งเป้าไปที่ความสำเร็จเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรตระหนักไว้ก็คือ หนทางในการแก้ปัญหาไม่ได้มีทางเดียว และเราอาจไม่สามารถหาพบได้ในครั้งแรก แต่เมื่อเราทำสมองให้โล่งและพุ่งเป้าไปที่ด้านบวก เราก็จะค้นพบทางออกของปัญหาได้อย่างแน่นอน
ศรัทธาเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการฝึกจิตใจ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลและวิถีแห่งความเป็นคริสเตียนมักเสนอหนทางในการใช้ชีวิต พระคัมภีร์สามารถที่จะสร้างพื้นฐานความคิดและการกระทำของคุณได้ อีกทั้งยังสามารถช่วยให้คุณคิดบวกและเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างสิ้นเชิง แท้ที่จริงแล้ว บทเรียนจากพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ไม่ยาก หากคุณนำมาปฏิบัติ เช่น พระคัมภีร์สอนให้เราหลีกเลี่ยงความโกรธ และพยายามมองคนอื่นในแง่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แค่เพียงคุณปฏิบัติสองข้อนี้ คุณก็จะสามารถมีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้นได้แล้ว เช่น เมื่อคุณไม่ได้เลื่อนขั้น แทนที่คุณจะโกรธ คุณควรที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระคัมภีร์ ด้วยการหยุดโกรธนายใหม่ และจัดการกับความเคียดแค้นด้วยการพยายามทำงานให้หนักขึ้น ในไม่ช้า เมื่อนายใหม่ย้ายไป คุณก็จะได้รับตำแหน่งเอง
อย่างไรก็ดี ศรัทธาสามารถจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อคุณทราบว่าคุณต้องการอะไร และต้องการไปไหน แต่หากคุณไม่ทราบ คุณอาจจำเป็นต้องอธิษฐานเพื่อช่วยปลดปล่อยพลังทางลบ และนำสู่ความคิดสร้างสรรค์ เมื่อคุณอธิษฐาน คุณสามารถที่จะมองเห็นปัญหาในมุมที่กว้างขึ้นซึ่งจะส่งผลให้คุณหามุมมองใหม่ที่จะแก้ไขปัญหาได้ อีกสิ่งหนึ่งที่คุณต้องตระหนักไว้ก็คือ ศรัทธาจะสามารถนำคุณไปสู่ทางออกได้ก็ต่อเมื่อความสำเร็จที่คุณมองหาเป็นไปอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรมเท่านั้น แต่หากสิ่งที่คุณต้องการประสบความสำเร็จเป็นสิ่งที่ผิด ศรัทธาก็ไม่สามารถที่จะช่วยอะไรคุณได้
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าร่างกายและจิตใจมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เช่น เมื่อเราเครียด ร่างกายก็มักแสดงออกด้วยการเจ็บป่วยหรือเจ็บปวด บางทีร่างกายก็แสดงออกว่าเจ็บป่วย โดยที่แพทย์ไม่สามารถหาสาเหตุได้อย่างแน่ชัด ในกรณีเช่นนี้ ปัญหามักไม่ใช่มาจากร่างกาย แต่มาจากจิตใจต่างหาก นั่นหมายความว่า คุณไม่เพียงต้องดูแลร่างกาย ยังต้องดูแลจิตใจด้วย จริงอยู่เราไม่สามารถพึ่งพาศรัทธาเพื่อช่วยรักษาร่างกายได้ทั้งหมด เราจึงต้องอาศัยทั้งพระเจ้าและหมอในการนำเราสู่สุขภาพดีที่แท้จริง ปัจจุบันแพทย์หลายคนจึงเริ่มนำหนังสือเกี่ยวกับศาสนาและจิตวิญญาณมาใช้ในการช่วยเหลือผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถที่จะได้รับการเยียวยาให้มีความคิดทางบวกและมีศรัทธาจนร่างกายมีสุขภาพที่ดีได้
นอกจากนั้น การศึกษายังพบว่า จิตสำนึกสามารถนำเราสู่โรคภัยหรือแม้แต่ความตายได้ แต่จิตใจของเรายังอยู่ภายใต้จิตใต้สำนึกด้วย ดังนั้น หากเราสั่งให้สุขภาพดีฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก อำนาจนี้ก็จะส่งผลไปยังสุขภาพทั่วร่างกาย ความคิดบวกนำพาสู่การเยียวยา แต่มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เราต้องเชื่อว่าเราจะได้รับการเยียวยาทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ และความเชื่อนี้จะเกิดขึ้นได้ก็เป็นผลมาจากการมีศรัทธานั่นเอง
สรุปว่า ไม่มีปัญหาใด ๆ ในโลกที่ไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยการสงบนิ่ง ความคิดทางบวก การพุ่งเป้าไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นบวก และหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยศรัทธานั่นเอง