You are here: Home > Social Science > พระเจ้าคือความเมตตา (The Name of God is Mercy)

พระเจ้าคือความเมตตา (The Name of God is Mercy)

โดย พญ. นภาพร ลิมป์ปิยากร

                เป็นที่ทราบกันดีแล้ว ศาสนาคริสต์ซึ่งเป็นศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุดในโลกนับถือพระเจ้า เหตุใดคนคริสต์จึงนับถือพระเจ้า  แล้วพระลักษณะของพระเจ้าในสายตาของคนคริสต์เป็นเช่นใดกันแน่ โดยทั่วไปความเห็นของพระสันตะปาปามักเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของชาวคริสต์ เมื่อ Jorge Mario Bergoglio บิชอปชาวอาร์เจนติน่าได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่ในปี 2013 ชาวคาทอลิกทั่วโลกต่างพากันอยากทราบว่า มุมมองของท่านต่อพระเจ้าเป็นเช่นใดกันแน่ เป็นมุมมองเดียวกันกับพระสันตะปาปาที่มาจากทวีปยุโรปหรือเปล่า The Name of God is Mercy หนังสือเล่มแรกของพระสันตะปาปา Francis จะตอบคำถามข้างต้นจากประสบการณ์ของท่านเองว่า ความเมตตาและความรักต่อผู้อื่น คือพระลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของพระเจ้า นอกจากนี้ผู้อ่านยังจะได้เรียนรู้ว่า 1. ทำไมเราไม่ควรโกรธหลังพระอาทิตย์ตก  2.  เหตุใดโบสถ์จึงควรทำตัวเหมือนโรงพยาบาล 3.  ทำไมโลกต้องหลีกเลี่ยงการคอรัปชั่นเฉกเช่นเดียวกันกับการหลีกเลี่ยงโรคระบาด  แม้หนังสือจะเขียนโดยพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักร แต่ผู้อ่านที่นับถือศาสนาอื่นก็ยังจะได้ประโยชน์จากหนังสือ ทั้งนี้เพราะหนังสือสอนถึงเรื่องเมตตาธรรมอันเป็นหลักยึดทั่วไปของคนทุกศาสนา เพียงแต่อธิบายด้วยวิธีการที่แตกต่างกันเท่านั้น

                พระเจ้าทรงมีพระลักษณะหลายประการไม่ว่าจะเป็นความอดทน ความมีอำนาจ แต่คุณสมบัติที่เด่นชัดที่สุดเหนือลักษณะอื่นใดของพระองค์คือ ความมีเมตตากรุณา ผู้ที่อ่านพระคัมภีร์จะทราบดีว่า พระองค์มักถูกบังคับให้ต้องเลือกระหว่างความมีเมตตาและการลงโทษเสมอ และพระองค์มักเลือกความเมตตา ความเมตตาของพระองค์เป็นสมอให้มนุษย์ยึดเพื่อที่จะไม่อยู่ในวังวนของความบาป และเตือนให้มนุษย์ตระหนักว่าชีวิตของพวกเขามีความหมาย  ความเมตตาของพระองค์ยังทำให้มนุษย์จดจำได้ว่าพวกเขาเป็นที่รักเสมอ และต้องพยายามที่จะประพฤติตัวอย่างถูกต้องชอบธรรม และความประพฤติเช่นนี้จะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน พระองค์ยังสอนให้มนุษย์ต้องหายโกรธก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เพื่อให้เราสามารถที่จะมีความสุขกับวันใหม่ได้โดยปราศจากความไม่พอใจอีกด้วย  

เมื่อมนุษย์สำนึกผิดเพื่อที่จะได้รับความรักจากพระเจ้านั้น พวกเขามักพยายามที่จะทำตัวให้ดีขึ้นตามพระธรรมบัญญัติ และพยายามทำให้โลกกลายเป็นสถานที่น่าอยู่มากขึ้นด้วยการให้ความช่วยเหลือผู้อื่น เฉกเช่นเดียวกับสดุดี 145:7-9 ที่ว่า พระเยโฮวาห์ทรงพระเมตตา และทรงเต็มไปด้วยพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และมีความเมตตาอย่างอุดม ทรงดีต่อทุกคน และความเมตตาของพระองค์มีอยู่เหนือพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ พระองค์ทรงบอกเราเสมอว่า พระองค์จะตอบทุกคำขอของเราทุกเวลาเมื่อเราขอ พระองค์จะแสดงความเมตตามากกว่าการทำลาย และนี่คือเหตุผลที่พระองค์ทรงส่งพระเยซูมาเป็นแบบอย่างให้กับมวลมนุษย์ เราจึงควรเรียนรู้จากองค์พระเยซูเป็นแบบอย่าง 

                เราจะพบเห็นความเมตตาของพระเยซูในทุกเรื่องราวของพระองค์ พระเยซูมักกล่าวว่าพระองค์ไม่ได้มาบนโลกเพื่อคนที่ชอบธรรม แต่มาเพื่อคนบาป พระองค์ไม่ได้มาเพื่อคนสุขภาพดี แต่มาเพื่อคนป่วย พระองค์มักแสดงความเมตตากับคนที่ถูกสังคมรังเกียจ หรือละทิ้ง เช่น คนเป็นโรคเรื้อน โสเภณี พระองค์จะเข้าหาคนโรคเรื้อนด้วยความเมตตาโดยไม่เกรงกลัวที่จะติดโรคจากพวกเขา  การให้การรักษาของพระองค์เป็นการแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าพระองค์ไม่เคยทอดทิ้งใคร เมื่อพระองค์เห็นประชาชนตามพระองค์ไป พระองค์ก็ยกเลิกการพบปะกับนักบุญทั้งหลาย แล้วหันมาหาประชาชนแทน พระองค์ตระหนักได้ว่า ประชาชนที่ตามพระองค์มาคือ ลูกแกะหลงหายที่ต้องการคนเลี้ยงแกะ ความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนมีความสำคัญสำหรับพระองค์มากกว่าเรื่องราวของพระองค์เอง 

                พระเยซูทรงกล่าวว่าพระองค์ไม่เพียงสามารถให้อภัยผู้คน 7 ครั้ง แต่พระองค์สามารถให้อภัย 70×7 ครั้งหรือตลอดไป นั่นหมายความว่า มนุษย์ควรแสดงความเมตตากับคนอื่น แม้เขาจะทำผิดกฎหมายด้วย  เมื่อพระเยซูต้องตัดสินหญิงที่มีความผิดฐานคบชู้ พระองค์ก็ถามประชาชนชายทั้งหลายที่อยากลงโทษเธอว่า ใครที่ไม่เคยทำผิดสามารถโยนหินใส่เธอได้เลย คำถามของพระองค์สอนประชาชนว่า การแสดงความเมตตาสำคัญกว่าการลงโทษตามกฎหมาย มนุษย์ควรตระหนักว่าตัวเองก็เป็นคนบาปเช่นกัน และพวกเขาก็ไม่มีใครอยากโดนขว้างหิน แม้พระเยซูไม่เคยทำบาป แต่พระองค์ก็ไม่ขว้างหินไปยังหญิงคนนั้น พระองค์กลับให้เธอสารภาพบาปและยกโทษให้  การตายเป็นการแสดงสุดท้ายที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงเสียสละชีวิตของพระองค์เองเพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ชาติ

                   ท่านสันตะปาปา Francis ย้ำว่า ปัจจุบันโบสถ์จึงต้องมีหน้าที่ที่จะส่งต่อมรดกของพระเยซูด้วยการแสดงความเมตตาต่อคนที่สังคมปฏิเสธ ศาสนจักรจึงควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการดำเนินการตามความเมตตาของพระเจ้า ทั้งบิชอปและพระล้วนมีหน้าที่ในการทำงานตามอย่างพระเยซู พวกเขาจำเป็นต้องทำตัวให้เหมือนพระเยซู และเต็มใจที่จะไปที่ใดก็ตามที่จำเป็น ความเมตตาของพระเจ้าสามารถไปถึงมวลมนุษย์ได้ผ่านทางพระสงฆ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดข้อหนึ่งที่ปรากฏในพระคัมภีร์ก็คือ การใช้สรรพนามแทนโสเภณีว่า มาดาม อันแสดงให้เห็นว่า แม้เธอจะขายร่างกาย แต่เธอยังเป็นคนมีค่าและสมควรได้รับเกียรติเฉกเช่นคนอื่น

                                 พระหรือนักบวชยังมีหน้าที่ต้องนำมนุษย์เข้าสู่ศาสนจักร หากพระและผู้รับสารบาปผลักผู้คนออกจากศาสนจักรจะทำให้ประชาชนขาดที่พึ่ง พวกเขาก็จะมีโอกาสก่อบาปและห่างไกลจากการเป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้นไปอีก  ศาสนจักรหรือโบสถ์จึงควรทำหน้าที่เหมือนอย่างโรงพยาบาลที่ทุกคนสามารถเข้ามารักษาบาดแผลได้  เมื่อมนุษย์บาดเจ็บทางใจ พวกเขาไม่สามารถหาสถานที่เยียวยาบาดแผลได้ ดังนั้น โบสถ์จึงควรมีอยู่ทุกที่โดยเฉพาะสถานที่ที่มนุษย์ทุกข์ทรมาน เช่น คุก หากคนคุกสามารถเข้าถึงโบสถ์ พวกเขาก็จะเข้มแข็งขึ้น และสามารถสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้โดยไม่จำเป็นต้องมีโอกาสออกจากคุก

                          ยิ่งกว่านั้น สังคมยังต้องการแนวทางที่ดีจากศาสนจักรเฉกเช่นเดียวกันกับเด็กที่ต้องการคำแนะนำจากผู้ปกครอง ดังนั้น ศาสนจักรจึงจำเป็นต้องทำตัวให้ประชาชนเข้าถึงได้เมื่อพวกเขาต้องการการนำและความช่วยเหลือ ปัจจุบันโบสถ์บางแห่งอนุญาตให้ผู้รับสารภาพบาปสามารถนำมือมาแตะไหล่ผู้สารภาพเปรียบเสมือนการปลอบประโลมบุตรเพื่อให้ผู้สารภาพบาปรู้สึกผ่อนคลาย และรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ถูกตัดสินอันจะส่งผลให้ผู้สารภาพบาปยินดีที่จะสารภาพบาปอย่างสัตย์ซื่อมากขึ้น  

                พระเจ้ารักทุกคนเฉกเช่นเดียวกับพ่อรักลูก ความรักของพระเจ้าไม่มีเงื่อนไข พระองค์ไม่เคยละทิ้งลูกของพระองค์ ไม่ว่าพวกเขาจะทำบาปอะไรมาก็ตาม เฉกเช่นเดียวกับพ่อแม่ที่รักลูกของตัวเสมอ ตัวอย่างในพระคัมภีร์มากมายที่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นเฉกเช่นผู้ปกครอง ปฏิกิริยาของพระเยซูมักเหมือนกับผู้ปกครองที่เข้าหาลูกที่เจ็บป่วย ใน เอเซเคล ก็มีตัวอย่างที่พระเจ้าบอกกับโสเภณีว่า เธอยังคงเป็นคนที่พระองค์เลือก และบาปของเธอได้รับการชำระทั้งหมดแล้ว

                            ความเมตตาของพระเจ้าที่มาถึงมนุษย์เป็นครั้งแรกก็ผ่านมาทางความรักจากพ่อแม่ โดยทั่วไปพ่อแม่มักไม่ตัดสินลูกไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรผิดก็ตาม พ่อแม่มักพยายามที่จะนำทางลูกไปยังหนทางที่ดีกว่าด้วยความอดทน ครอบครัวควรเป็นโรงเรียนแห่งแรกที่สอนความเมตตา เพราะที่นั่นเป็นสถานที่แรกที่มนุษย์ได้เรียนรู้จักความรัก ได้รับการยกโทษ และเรียนรู้ที่จะยกโทษด้วย 

                         แม้บางคนอาจไม่มีโอกาสที่จะได้รับความรักแบบพ่อแม่ได้อีกแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ที่อายุมากและพ่อแม่เสียชีวิต  แต่พวกเขายังคงได้รับจากความรักของพระเจ้าเฉกเช่นเดียวกันกับความรักฉันพ่อลูกเช่นเดิม พวกเขาสามารถที่จะได้รับความรักเสมอหากพวกเขายอมสำนึกผิด และขอการยกโทษบาป พระเจ้าก็พร้อมจะอภัยให้เสมอ

                มนุษย์จำเป็นต้องยอมรับว่าเราเป็นคนบาป เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวผลจากความเมตตาของพระเจ้า เราต้องยอมรับว่าเราคือคนบาป และต้องการความรัก และการนำทาง  การที่มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปก็เพราะบาปครั้งแรกที่เอวาไม่ทำตามคำสั่งของพระเจ้าจนทำให้มนุษย์ได้ชื่อว่าอ่อนแอและขาดความสามารถในการเลือกความดีเหนือความชั่ว  การปฏิเสธธรรมชาติของเราและเชื่อว่าเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ทำบาปนั้น กลับเป็นสิ่งที่แย่กว่าอีก พระเจ้าเต็มใจที่จะยกโทษให้เราเพราะพระองค์เข้าใจธรรมชาติบาปของเรา

                     พระสันตะปาปา Francis เองก็ยอมรับว่าพระองค์เป็นคนบาป แท้ที่จริงแล้วคนบาปที่สำนึกผิดยังมีค่ากับพระเจ้ามากกว่าคนชอบธรรมเสียอีก เช่น ใน ลุค 15:11-32 พ่อจัดงานฉลองให้กับลูกคนเล็กที่เห็นแก่ตัว และให้เหตุผลกับลูกคนโตว่า เราต้องฉลองให้กับลูกคนเล็กเพราะเขาตายไปแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง นี่คืออัศจรรย์ของการสำนึกผิด  เมื่อมนุษย์ไม่สามารถหนีพ้นบาป แต่เราก็ยังสามารถที่จะเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด ด้วยการสำนึกผิดและกลายเป็นคนชอบธรรมได้ พระเจ้าจะชื่นชมยินดีกับคนบาปที่กลับใจมากกว่าคนชอบธรรมที่ไม่ยอมสำนึกผิดเสียอีก 

                มนุษย์จำเป็นต้องเปิดให้กับความบาป แต่ไม่ใช่การคอรัปชั่น ความบาปเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การคอรัปชั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การคอรัปชั่นเป็นการโน้มน้าวตัวเองและคนอื่นว่าการทำบาปเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ คนคอรัปจะหลบอยู่ภายใต้หน้ากากของคำว่าคริสเตียนเพื่อปกปิดความบาปของตัวเองและหวังว่าจะหลอกลวงไม่เพียงเพื่อน ๆ แต่ยังรวมถึงพระเจ้าด้วย  ในขณะที่ความบาปมักเกิดขึ้นในช่วงที่มนุษย์อ่อนแอ แต่การคอรัปชั่นมักอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนส่งผลให้คนเหล่านี้ยากที่จะกลับใจไปหาพระเจ้ามากกว่าคนบาปเสียอีก ทั้งนี้เพราะคนคอรัปมักเน้นไปที่เงิน ชื่อเสียงและอำนาจมากกว่าความดีที่พระเยซูแนะนำให้คนปฏิบัติตาม 

                    เงิน ชื่อเสียงและอำนาจเป็นสิ่งเสพติด คนที่ติดตามมันมักมีความยากลำบากในการยอมรับว่าพวกเขามีชีวิตอย่างไร้ความหมายซึ่งเป็นความจริงที่ยากจะเผชิญหน้า คนคอรัปก็เหมือนคนขายชาติ แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถกลับไปหาพระเจ้าได้ เพียงแต่ต้องใช้ความพยายามมาก พวกเขามักกลับไปหาพระเจ้าเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายยิ่งใหญ่ เช่น ความตายของคนรักซึ่งบังคับให้เขาหันมาตรวจสอบทางเลือกของตัวเองใหม่ และมองหาความช่วยเหลือ การคอรัปชั่นไม่ได้ส่งผลร้ายต่อคนทำเท่านั้น แต่มันยังเป็นอันตรายต่อสังคมด้วย คนคอรัปชั่นมักไม่ค่อยรับผิดชอบกับการกระทำของตัว เช่น พวกเขาจะบ่นว่าตัวเองถูกปล้น แต่ลืมคิดไปการเลี่ยงภาษีก็เป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่ง คนขโมยอาจสารภาพบาปและสำนึกผิด แต่คนคอรัปชั่นมักให้ความสนใจแต่กับความบาปของขโมย โดยสังคมกลับต้องทุกข์ทรมานจากการกระทำที่เห็นแก่ตัวของคนคอรัป การคอรัปชั่นเป็นผลพวงของพฤติกรรมความเห็นแก่ตัวและความเห็นอกเห็นใจเท่านั้นที่เป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะมันได้ 

                การแสดงให้เห็นถึงความเมตตาของพระเจ้าด้วยการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเป็นหนทางในการเยียวยาสังคม มนุษย์ไม่ได้ดีเท่ากับพระเจ้า เราไม่สามารถที่จะเมตตา อดทน และรักคนอื่นเฉกเช่นพระเจ้า แต่เราสามารถเห็นอกเห็นใจ หากเราเดินตามพระเยซู ด้วยการมีส่วนร่วมกับโลกมากกว่านี้ อันจะทำให้โลกสวยงามมากขึ้น  เมื่อเราพยายามยื่นมืออกไปสัมผัสกับชีวิตของคนอื่นมากขึ้น เราก็สามารถที่จะปกป้องปีศาจร้ายได้มากขึ้น เวลาที่เราเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้ยากที่สุดมักเป็นเวลาที่เรารู้สึกว่าเราถูกปฏิบัติอย่างอยุติธรรมส่งผลให้เรามีแนวโน้มที่จะล้างแค้น แต่ในพระคัมภีร์กลับสอนให้เรารักศัตรู และอธิษฐานเผื่อเขา หากเราไม่ทำเช่นนั้น เราก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดความรู้สึกตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งนำไปสู่วงจรอุบาทว์ของความรุนแรง 

                การปกครองด้วยความรักมีความสำคัญเท่า ๆ กับการปกครองด้วยกฎหมาย การกระทำของพระเยซูมักถูกนำโดยความรัก แม้ว่าการกระทำของพระองค์จะไม่ตรงกันกับความเห็นของผู้รู้ต่าง ๆ พระเยซูยังทรงสอนให้เรารักทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกคนเป็นคนบาป แล้วเรามีอำนาจอะไรที่จะไปลงโทษคนบาปอื่น ๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราปล่อยให้ความบาปเกิดมากขึ้น แต่เราควรที่จะลดทอนบาปด้วยความรักแทนที่จะเป็นการลงโทษ

                    ความบาปเป็นบาดแผลของมนุษย์ทุกคน และความเมตตาของพระเจ้าเป็นหนทางเดียวที่จะเยียวยาได้ เมื่อใดที่เราแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เราก็กำลังให้กำลังใจเขาเพื่อให้จิตใจของเขาอ่อนโยนลงแทนที่จะทำบาปต่อไป และเท่ากับกระตุ้นให้เขาเปิดใจต่อพระเจ้าและเข้าสู่กระบวนการเยียวยา ความสามารถในการแสดงความเห็นอกเห็นใจเป็นการทดสอบที่แท้จริงของการเป็นคริสเตียน เฉกเช่นเดียวกันกับที่ St. John กล่าวไว้ว่า ในที่สุดแล้ว เราจะถูกตัดสินบนความรักเพียงอย่างเดียว 

                เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด พระเจ้าคือความเมตตา ความเมตตาเป็นหัวใจของทุกเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าและพระเยซู การที่พระเจ้าให้พระเยซูมาเกิดบนโลกก็เพื่อที่จะรับใช้มนุษย์ในฐานะของมนุษย์ที่มีความชอบธรรมและความเมตตา มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ดังนั้น คนบาปจำเป็นต้องแสดงความเมตตาเพื่อกลับเป็นคนชอบธรรม การลงโทษ ความโกรธ และการแก้แค้นไม่สามารถทำให้โลกกลายเป็นสถานที่ที่ดีกว่าเดิมได้ มีแต่ความเมตตา และความเห็นอกเห็นใจเท่านั้นที่ทำได้ ความเมตตาจึงเป็นการทดสอบที่สำคัญที่สุดของมวลมนุษย์ชาติ มนุษย์ไม่ควรกลัวที่จะเข้าหาพระเจ้า ไม่ว่าคุณทำบาปมามากแค่ไหน พระเจ้าก็ยินดีจะรับฟัง ขอความเมตตาจากพระองค์ แล้วพระองค์จะมอบความรักความเมตตาให้เราอย่างแน่นอน เอเมน

                 

 

Rating: 2 stars

Tags: , , , , , ,

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

Leave a Reply

+(reset)-

Ratings Plugin created by Cheap Web Hosting - Powered by Attache Case and VLC Player Download.